คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4890/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้จัดการมรดกของย.จำเลยที่2ถึงที่4ในฐานะผู้บังคับบัญชาของย. ให้ร่วมรับผิดในการที่ย. ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ไปศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาว่าย. ไม่ได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์แต่การที่ย.ไม่เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบเป็นการประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายการกระทำของย. จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นและโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวการที่โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่2ถึงที่4รับผิดต่อโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยที่2ถึงที่4ไม่ควบคุมดูแลให้ย.เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้จึงเป็นการอุทธรณ์นอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นภรรยาและผู้จัดการมรดกของร้อยตำรวจเอกยุพล วังทะพันธ์ ร้อยตำรวจเอกยุพลได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์รวมเป็นเงิน 2,180,594 บาท จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ในฐานะผู้บังคับบัญชาประมาทเลินเล่อไม่ดูแลควบคุมร้อยตำรวจเอกยุพล ทำให้ร้อยตำรวจเอกยุพลทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ได้ จึงต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 2,180,594 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ร้อยตำรวจเอกยุพลไม่ได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเกิดจากการกระทำของร้อยตำรวจเอกยุพลเพียงผู้เดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของร้อยตำรวจเอกยุพล วังทะพันธ์ ชำระเงินจำนวน2,180,594 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเงินจำนวน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 4
โจทก์ อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 2ถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกนางวันทนา นันทโพธิเดชนางจันทนา วีระเถกิงชีวี และนางสะอาดองค์ กมลรัตนพิบูลทายาทของจำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายก อุทธรณ์ โจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คำฟ้องของโจทก์นั้น โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดจำนวนเงินตามฟ้องซึ่งเป็นเงินที่เบิกจากในงบประมาณแผ่นดินอันได้แก่เงินหมวดค่าใช้สอย เงินหมวดค่าสาธารณูปโภคและเงินหมวดเงินเดือนประเภทหนึ่ง กับเงินนอกงบประมาณคือเงินรายได้แผ่นดินหรือเงินผลประโยชน์เช่นเงินภาษีรถยนต์อีกประเภทหนึ่ง สำหรับเงินที่เบิกจากในงบประมาณแผ่นดินนั้นโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ร้อยตำรวจเอกยุพลในฐานะสารวัตรการเงินและบัญชีได้ทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยร้อยตำรวจเอกยุพลทำฎีกาเบิกเงินของโจทก์ให้มีจำนวนเงินที่ขอเบิกมากกว่าจำนวนที่จะต้องจ่ายตามความเป็นจริง เมื่อได้รับเงินแล้วก็จ่ายเงินตามหลักฐานใบสำคัญตามความเป็นจริงซึ่งเป็นจำนวนเงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่เบิกมาจากคลังจังหวัด แล้วร้อยตำรวจเอกยุพลได้เบียดบังเอาเงินที่เบิกเกินมานั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัววิธีหนึ่ง ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ ร้อยตำรวจเอกยุพลได้ทำฎีกาเบิกเงินอันเป็นเท็จทั้งฉบับขอเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พักค่าพาหนะเดินทางซึ่งความจริงไม่มีและไม่มีข้าราชการตำรวจคนใดเดินทางไปราชการอันจะต้องจ่ายเงินดังกล่าวตามที่ขอเบิก เมื่อได้รับเงินจากคลังจังหวัดแล้วก็เบียดบังเอาเงินที่ขอเบิกทั้งหมดไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวรวมทั้งสองวิธีเป็น 28 ฎีกา เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน2,175,594 บาท และฟ้องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาของร้อยตำรวจเอกยุพลและในฐานะผู้เบิกกับฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาของร้อยตำรวจเอกยุพลและจำเลยที่ 2ให้ร่วมรับผิดว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ประมาทเลินเล่อได้ลงชื่อเป็นผู้เบิกในฎีกาที่ร้อยตำรวจเอกยุพลเป็นผู้ทำเสนอโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ถูกต้อง เป็นเหตุให้ร้อยตำรวจเอกยุพลกระทำการทุจริตเอาเงินของโจทก์ไปเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความตามฟ้องข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ว่า ร้อยตำรวจเอกยุพลได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์โดยการทำฎีกาเบิกเงินอันเป็นเท็จขึ้นดังที่โจทก์ฟ้อง แต่ความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นเนื่องจากร้อยตำรวจเอกยุพลไม่เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ เป็นการประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งการกระทำของร้อยตำรวจเอกยุพลในข้อที่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหายดังกล่าวนี้ โจทก์มิได้บรรยายเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้ร้อยตำรวจเอกยุพลรับผิดชดใช้เงินแต่อย่างใด เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าร้อยตำรวจเอกยุพลได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์โดยการทำฎีกาเบิกเงินอันเป็นเท็จเท่านั้น ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ร้อยตำรวจเอกยุพลรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์เพราะเหตุไม่เก็บรักษาใบสำคัญการจ่ายเงินไว้เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ถือว่ามิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยเช่นนั้นแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าว โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 รับผิดต่อโจทก์โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีหน้าที่ต้องคอยควบคุมดูแลให้ร้อยตำรวจเอกยุพลเก็บรวบรวมเอกสารใบสำคัญการจ่ายเงินต่าง ๆเพื่อส่งให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบโดยครบถ้วนตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดังกล่าวและละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการอุทธรณ์นอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share