คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พินัยกรรมที่ระบุในตอนต้นว่ายกทรัพย์ที่มีอยู่และที่จะเกิดมาในภายหน้าให้ผู้รับพินัยกรรมคนเดียวนั้นแต่ในตอนต่อไปมีรายการทรัพย์ว่า ยกทรัพย์สิ่งใดให้บ้าง แต่ทรัพย์พิพาทไม่มีระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งมีเหตุให้เห็นได้ว่า แจ้งมรดกมิให้มีเจตนาจะยกทรัพย์ที่พิพาทนี้ให้แก่ผู้รับพินยกรรมด้วย ดังมีทรัพย์พิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บิดามารดาโจทก์จำเลยมีที่ดิน ๑ แปลง เนื้อที่ ๖ ไร่เศษ บิดามารดมที่ได้แบ่งให้โจทก์ ๒ไร่เศษ บิดามารดาตายขอแสดงกรรมสิทธิ์หรือแบ่งให้โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า บิดามารดายกให้จำเลยครอบครองมาทั้งหมด ๒๐ ปีเศษ และต่อมา ศ.ได้ทำพินัยกรรมยกให้จำเลยอีก ที่ดิน ๒ ไร่เศษนั้นโจทก์ละทิ้งไป ๑๖ ปีแล้ว
ศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงต้องกนว่า ที่พิพาทเป็นของ ส.บิดาโจทก์จำเลย เคยให้โจทก์อยู่อาศํย และโจทก์ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นช้านานแล้ว ส.ตายที่พิพาทเป็นมรดก ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีไม่ขาดอายุความ โจทก์มีสิทธิได้เท่าที่ครอบครองเป็นส่วนสัด พิพากษาให้ที่พิพาทในเส้นสีแดงเป็นสิทธิแก่โจทก์แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพินัยกรรมของ ส. ที่ยกทรัพย์ให้จำเลยนั้นรวมถึงที่พิพาทด้วย พิพากาษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ส.ได้ทำพินัยกรรมให้จำเลย ซึ่งในข้อ (๑) มีว่า” ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่กรรมไปแล้วบรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่และจะเกิดมีมาในภายหน้า ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิแก่นางจำรัส ซึ่งเป็นบุตรสืบสายโลหิตของข้าพเจ้า ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งกำหนดไว้ดังต่อไปนี้ คือ
๑. ที่นา ๑ แปลงอยู่ที่ ฯลฯ โฉนดเลขที่ ฯลฯ เนื้อที่ ๔๘ ไร่”
ศาลฎีาได้ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่า มีเหตุน่าสงสัยว่าเจ้ามรดกจะมิได้เจตนายกที่บ้าน ซึ่งพิพาทในคดีนี้ให้แก่ฝ่ายจำเลยตามพินัยกรรม จึงระบุไว้ในพินัยกรรมเพียงเท่านั้น ฉะนั้นที่บ้านพิพาทจึงเป็นทรัพย์นอกพินัยกรรมและเป็นมรดกของนายสน พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share