คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4889/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยจ่ายค่าเบี้ยกิโลเมตรให้โจทก์ทุกวันตามระยะทางที่โจทก์ขับรถได้ในอัตรากิโลเมตรละ35 สตางค์ ค่าเบี้ยกิโลเมตรจึงเป็นเงินที่จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจ่ายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันที่ทำงานหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่พนักงานทำงานได้ จึงเป็น”เงินเดือนค่าจ้าง”ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534ข้อ 3 ซึ่งจะต้องนำไปรวมคำนวณค่าชดเชยที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามข้อ 45 แห่งระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฉบับดังกล่าวด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2529 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่พนักงานขับรถได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือนเดือนละ 2,800 บาท และค่าเบี้ยกิโลเมตรกิโลเมตรละ 35 สตางค์ โจทก์ขับรถวันละ 609 กิโลเมตรจะได้รับค่าเบี้ยกิโลเมตรวันละ 213 ซึ่งโจทก์ขับรถทุกวันจึงได้รับค่าเบี้ยกิโลเมตรเดือนละ 6,390 บาท และได้รับเงินค่าช่วยเหลือบุตรเดือนละ 150 บาทรวมเป็นค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,340 บาทต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2535 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยที่โจทก์ไม่มีความผิดและไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถอัตราค่าจ้างคือเงินเดือน เดือนละ 2,800 บาทค่าเบี้ยกิโลเมตร วันละ 213 บาท ค่าช่วยเหลือบุตรเดือนละ 150 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 9,340 บาท พร้อมสวัสดิการตามเดิม และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 121,420 บาท กับให้จ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างเดือนละ 9,340 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม หากไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 56,040 บาท ค่าเสียหายจำนวน 56,040 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 2,052 บาท คืนเงินสะสมจำนวน 14,200 บาท และคืนเงินประกันความเสียหายจำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สำหรับค่าเบี้ยกิโลเมตรจำเลยจะจ่ายตามระยะทางที่ปฏิบัติงานและจะจ่ายให้ต่อเมื่อพนักงานขึ้นปฏิบัติหน้าที่ขับรถเท่านั้น สำหรับเงินค่าช่วยเหลือบุตรเป็นเงินช่วยเหลือด้านสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและหัวใจโต เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการขาดคุณสมบัติตามระเบียบพนักงานบริษัทขนส่ง จำกัด พ.ศ. 2532 ข้อ 6(10)จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ ขณะที่เลิกจ้างโจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนละ 2,800 บาท ค่าเบี้ยกิโลเมตรซึ่งถือว่าค่าจ้างวันละ 213 บาทโจทก์จึงได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,190 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุ ดังกล่าวจึงต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ โจทก์พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 55,140 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 1,839 บาท กับให้คืนเงินสะสมจำนวน 14,200 บาท และเงินประกันความเสียหายจำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสียจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์เพียงประการเดียวว่า ค่าเบี้ยกิโลเมตรที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์นั้นจำเลยจะจ่ายให้โจทก์ต่อเมื่อโจทก์ได้ขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถเท่านั้นโดยจ่ายเป็นรายวันทุกวันที่โจทก์มาปฏิบัติหน้าที่จริงค่าเบี้ยกิโลเมตรในแต่ละวันไม่เท่ากัน จึงมิใช่เงินที่จำเลยจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานในลักษณะแน่นอนและจำนวนตายตัวมิใช่ค่าจ้างตามกฎหมาย โจทก์จึงได้ค่าจ้างเพียงเดือนละ 2,800 บาทเท่านั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ค่าเบี้ยกิโลเมตรนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายให้โจทก์ทุกวันตามระยะทางที่ขับรถได้ในอัตรากิโลเมตรละ 35 สตางค์ โจทก์ขับรถวันละ 609 กิโลเมตรได้รับค่าเบี้ยกิโลเมตรวันละ 213 บาท ดังนั้น ค่าเบี้ยกิโลเมตรตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจ่ายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันที่ทำงานหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่พนักงานทำงานได้ ค่าเบี้ยกิโลเมตรจึงเป็น “เงินเดือนค่าจ้าง” ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2534 ข้อ 3 ซึ่งจะต้องนำไปรวมคำนวณค่าชดเชยที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามข้อ 45 แห่งระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ดังกล่าวด้วย ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share