แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อบังคับตามระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสมที่กำหนดสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างในอันที่จะได้รับเงินสมทบส่วนของบริษัทจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างที่มีข้อความว่า “ส่วนที่จะได้รับจากบริษัท พนักงานที่เป็นสมาชิกถ้าออกจากงานก่อนเกษียณอายุ หากมีอายุงาน 2 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสะสมของตนคืนพร้อมดอกเบี้ยและเงินสมทบจากบริษัทพร้อมดอกเบี้ยตามสัดส่วนดังนี้ ฯลฯ อายุงานครบ 7 ปี ส่วนที่บริษัทสมทบ 70 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ทั้งนี้ไม่รวมถึงพนักงานที่ต้องออกจากงานเนื่องจากการลดคนทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต บริษัทอาจสมทบให้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่นำอายุงานมาใช้เป็นเงื่อนไข” เป็นข้อบังคับที่กำหนดเป็นการให้ดุลพินิจของจำเลยที่จะจ่ายเงินสมทบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ได้โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องอายุงานถ้าเป็นการออกจากงานเนื่องจากกรณีตามที่กำหนดไว้คือ การลดคนทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต มิใช่เป็นข้อกำหนดที่เป็นบทบังคับว่าถ้าโจทก์ออกจากงานด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว จำเลยจะต้องจ่ายเงินสมทบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะคำว่า “อาจสมทบให้” นั้น ไม่อาจจะแปลไปในทางที่เป็นผลบังคับฝ่ายที่ปฏิบัติให้ต้องปฏิบัติเป็นการแน่นอนดังนั้นการที่โจทก์ซึ่งมีอายุงานครบ 7 ปี ออกจากงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างเพราะต้องการลดคน สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินสมทบจากจำเลยตามระเบียบดังกล่าวจึงมีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำ จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยให้เหตุผลว่ายุบตำแหน่งหรือลดคนโดยโจทก์ไม่มีความผิด ในระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลยมีระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสม ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเงินสมทบของจำเลยให้โจทก์เมื่อออกจากงานในอัตราสมทบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่จำเลยจ่ายเงินสมทบส่วนของจำเลยเพียง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ขอให้จำเลยจ่ายเงินสมทบส่วนที่ขาดแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตามระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสมนั้นโจทก์มีสิทธิได้รับเงินสมทบกองทุนส่วนของจำเลยเพียง ๗๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะได้รับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินสะสมของจำเลยให้โจทก์ชอบด้วยระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสมแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสมนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเงินสมทบส่วนของจำเลยโดยคำนวณ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า โจทก์มีอายุงานครบ ๗ ปี ออกจากงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างเพราะต้องการลดคน สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินสมทบส่วนของจำเลยนั้นเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสม ข้อ ๙.๓ ซึ่งมีความว่า “ส่วนที่จะได้รับจากบริษัท
พนักงานที่เป็นสมาชิกถ้าออกจากงานก่อนเกษียณอายุ หากมีอายุงาน ๒ ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสะสมของตนคืนพร้อมดอกเบี้ยและเงินสมทบจากบริษัทพร้อมดอกเบี้ยตามสัดส่วนดังนี้
ฯลฯ
อายุงานครบ ๗ ปี ส่วนที่บริษัทสมทบ ๗๐ เปอร์เซ็นต์
ฯลฯ
ทั้งนี้ไม่รวมถึงพนักงานที่ต้องออกจากงานเนื่องจากการลดคนทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต บริษัทอาจสมทบให้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โดยไม่นำอายุงานมาใช้เป็นเงื่อนไข”
เห็นว่า ตามที่กำหนดไว้ในวรรคสุดท้ายของระเบียบข้อ ๙.๓ ที่ว่าบริษัทอาจสมทบให้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โดยไม่นำอายุงานมาใช้เป็นเงื่อนไขนั้น เป็นข้อบังคับที่กำหนดเป็นการให้ดุลพินิจของบริษัทจำเลยที่จะจ่ายเงินสมทบเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ได้โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องอายุงาน ถ้าเป็นการออกจากงานเนื่องจากกรณีตามที่กำหนดไว้คือการลดคน ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต มิใช่เป็นข้อกำหนดที่เป็นบทบังคับว่าถ้าออกจากงานด้วยเหตุดังกล่าวแล้วบริษัทจำเลยจะต้องจ่ายเงินสมทบเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ เพราะคำว่า “อาจสมทบให้” นั้นไม่อาจจะแปลไปในทางที่เป็นผลบังคับฝ่ายที่ปฏิบัติให้ต้องปฏิบัติเป็นการแน่นอนสิทธิของโจทก์ที่จะได้เงินสมทบจากจำเลยตามระเบียบดังกล่าวจึงมีเพียง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ตามที่จำเลยได้จ่ายให้โจทก์ไป ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.