คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4882/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ตกลงรับชำระหนี้จาก ก. และ ส. ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยจำนวน 900,000 บาท แล้วยอมถอนการยึดทรัพย์ให้ ก. และ ส. และตกลงไม่เรียกร้องให้คนทั้งสองชำระหนี้อีกต่อไปนั้น ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม จะถือเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่ จำเลยมีรายได้น้อยและไม่อยู่ในฐานะที่อาจชำระหนี้โจทก์ได้แต่การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีเงินเดือน มีโบนัสและสามารถส่งเสียบุตรให้เรียนหนังสือได้ทุกเดือน ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้มีฐานะทางการงานมั่นคง ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ก็เนื่องมาจากเข้าค้ำประกันหนี้เกี่ยวกับการค้าของสามีไม่ใช่เพราะประพฤติชั่วหรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เกินฐานะและไม่ปรากฎว่าจำเลยมีเจ้าหนี้รายอื่นอีก หากพิพากษาให้ให้จำเลยล้มละลาย จำเลยก็จะถูกให้ออกจากงาน หมดอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน และไม่สามารถส่งเสียบุตรให้ได้รับการศึกษาต่อไปทรัพย์สินของจำเลยก็จะยังคงไม่มีพอที่จะรวบรวมมาชำระหนี้โจทก์ ครอบครัวของจำเลยจะตกอยู่ในสภาพแพแตกและหมดที่พึ่ง ไม่บังเกิดผลดีแก่ทั้งโจทก์และสังคมส่วนรวมโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วประมาณร้อยละ 78 ของจำนวนหนี้ทั้งหมดต่อไปหากจำเลยมีหน้าที่การงานดีขึ้น มีภาระทางครอบครัวน้อยลงและไม่ตกเป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ก็ยังมีโอกาสบังคับคดีในหนี้ที่เหลือจากจำเลยได้ไม่มากก็น้อยซึ่งจะบังเกิดผลดีแก่โจทก์ยิ่งกว่าการที่จะให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลาย กรณีเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยมีรายได้แน่นอน หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้ร่วมกับบุคคลอื่นหลายคนโจทก์สามารถบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ร่วมคนอื่นได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่ากรณีมีเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีแพ่งของศาลชั้นต้นฟังได้เป็นยุติแล้วว่า โจทก์ได้นำยึดที่ดินของนายโกศล และนางสุดาซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยไว้แล้ว การที่โจทก์ตกลงรับชำระหนี้จากคนทั้งสองจำนวน 900,000 บาท แล้วยอมถอนการยึดทรัพย์และตกลงไม่เรียกร้องให้คนทั้งสองชำระหนี้อีกต่อไปนั้น ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยไม่ให้ได้รับความเป็นธรรมแต่อย่างใด จะถือเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่ แม้จำเลยจะมีรายได้น้อยและไม่อยู่ในฐานะที่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ แต่การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีเงินเดือน มีโบนัสและสามารถส่งเสียบุตรให้เรียนหนังสือได้ทุกเดือนนั้น ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้มีฐานะทางการงานมั่นคงจนเป็นหลักฐานของครอบครัวได้ ส่วนการเป็นหนี้โจทก์นั้นเนื่องจากจำเลยเข้าค้ำประกันหนี้ที่เกี่ยวกับกิจการค้าของสามีไม่ใช่เพราะจำเลยประพฤติชั่วหรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินฐานะ ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยมีเจ้าหนี้รายอื่นนอกจากโจทก์ดังนี้ หากมีการพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย จำเลยก็จะถูกให้ออกจากงาน หมดอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของตนเอง และไม่สามารถส่งเสียบุตรให้ได้รับการศึกษาต่อไปได้ ทรัพย์สินของจำเลยก็จะยังคงไม่มีพอที่จะรวบรวมนำมาชำระหนี้โจทก์ได้ครอบครัวของจำเลยจะตกอยู่ในสภาพแพแตกและหมดที่พึ่งไม่บังเกิดผลดีแก่โจทก์และสังคมส่วนรวม โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วประมาณร้อยละ 78 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยส่วนหนี้ที่เหลืออยู่นั้น ต่อไปภายหน้าหากจำเลยมีหน้าที่การงานดีขึ้น มีภาระทางครอบครัวน้อยลงและไม่ตกเป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ก็ยังมีโอกาสที่จะบังคับคดีเอาจากจำเลยได้ไม่มากก็น้อยซึ่งจะบังเกิดผลดีแก่โจทก์ยิ่งกว่าการที่จะให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลาย กรณีมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
พิพากษายืน

Share