คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4862/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยได้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายที่ค้างชำระให้แก่เจ้าพนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงในวันดังกล่าวแต่เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ
หนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2524 ซึ่งจำเลยได้รับแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2529 และวันที่ 18 มีนาคม2529 จำเลยไม่ได้ชำระ เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และวันที่ 11พฤศจิกายน 2540 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ส่วนนี้เป็นอันขาดอายุความ
อายุความจะสะดุดหยุดลงได้ก็เมื่อมีกรณีต้องด้วยมาตรา 193/14แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนการยึดทรัพย์ตามประมวลรัษฎากรหาได้เป็นการกระทำอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่
จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือยอมรับชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์หนังสือดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคสอง ซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/35

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรและกฎหมายอื่น จำเลยเป็นผู้ถือประทานบัตร ที่ 14751/12590 และจำเลยเป็นผู้มีเงินได้ซึ่งต้องรับผิดเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย จากการตรวจสอบไต่สวนของเจ้าหน้าที่โจทก์พบว่า เมื่อปีภาษี พ.ศ. 2524 จำเลยมีเงินได้จากการขายแร่ดีบุกตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นเงิน 6,432,066.80 บาท แต่จำเลยยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงิน 6,128,473.80 บาท และหักค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้องคิดเป็นภาษีที่จำเลยต้องชำระเพิ่ม 167,963.30บาทกับเงินเพิ่ม ตามมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากรและในปีภาษี พ.ศ. 2522 ถึง 2525 จำเลยจ่ายค่าใช้จ่ายค่าแรงงานต่าง ๆ โดยมิได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย นำส่งแก่โจทก์ ซึ่งจำเลยยินยอมให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 3 คิดเป็นค่าภาษีและเงินเพิ่มรวมจำนวน 53,099.28 บาท จำเลยได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้วไม่ชำระภาษี และไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 จำเลยได้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย จำนวน 2,034.50 บาท คงเหลือยอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย ค้างชำระเป็นเงิน 51,116.58 บาท เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2529 เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเงินเพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี พ.ศ. 2524 คิดเป็นเงินเพิ่มภาษี 16,796 บาท จำเลยได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2529 แล้วไม่ชำระภาษีและไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านโจทก์ได้เตือนให้จำเลยชำระภาษีดังกล่าวหลายครั้งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539จำเลยนำเงินไปชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย จำนวน 200 บาท อันเป็นการรับสภาพหนี้โดยการชำระหนี้บางส่วน ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำเลยคงค้างชำระรวมเป็นเงิน 184,759.63 บาท รวมเป็นเงินภาษีที่ค้างชำระทั้งสิ้นจำนวน 235,709.54 บาท ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ โจทก์ได้ติดต่อทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 235,709.54 บาท แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะเมื่อวันที่ 16มิถุนายน 2535 โจทก์โดยผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร แต่งตั้งเจ้าพนักงานทำการยึดทรัพย์ที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระค่าภาษีอากรค้างแล้วหนี้ภาษีอากรที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์นำเงินภาษีอากรค้างปี 2524 มาฟ้องคดีเมื่อพ้น 10 ปีแล้ว จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ลายมือชื่อของจำเลยตามใบรับหนังสือแจ้งการประเมินเป็นลายมือปลอม ในวันที่ 12 มีนาคม 2529 และวันที่ 5มีนาคม 2539 จำเลยไม่เคยชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามที่โจทก์อ้างจำเลยไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารท้ายคำฟ้องเป็นเอกสารเท็จ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ได้ความจากนายวรนิตย์ ชำนาญเหมาะ นิติกร 5 สำนักงานสรรพากรจังหวัดตรัง พยานโจทก์ว่า นายวรนิตย์ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัดภาษีอากรจำเลย จำเลยถูกโจทก์ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหนังสือแจ้งการประเมินเอกสารหมาย จ.1 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งการประเมิน นายวรนิตย์สอบถามจำเลย จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรจริง นายวรนิตย์จึงบันทึกคำให้การของจำเลยไว้ และจำเลยให้การว่า เคยชำระหนี้ไป 2 ครั้ง ครั้งละ 2,000 บาท แต่จำไม่ได้ว่าชำระเมื่อใด ครั้งที่สองนางปริก ศรีหมอก เป็นผู้ชำระแทน กรมสรรพากรได้ยึดที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ภาษีอากรที่ค้าง จำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ในคำให้การด้วยตามเอกสารหมาย จ.4 วันที่ 11 พฤศจิกายน2540 นายวรนิตย์ไปหาจำเลยอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอให้จำเลยผ่อนชำระค่าภาษีที่ค้าง จำเลยแจ้งว่าสามารถชำระให้เดือนละ 200 บาท นอกจากนี้นายวรนิตย์ได้สอบถามจำเลยว่า เคยนำเงินไปชำระค่าภาษีที่สำนักงานกรมสรรพากร จำนวน 200 บาท หรือไม่ เพราะมีหลักฐานปรากฏอยู่ จำเลยให้การว่าไม่เคยไปเพราะเดินไม่ได้เนื่องจากถูกกับระเบิด จำเลยยินดีผ่อนชำระเดือนละ 200 บาท โดยครั้งแรกชำระจำนวน 2,034.54 บาท ครั้งที่สอง จำนวน 200 บาท นายวรนิตย์อ้างว่าจำเลยชำระค่าภาษีอากรที่ค้างตามหลักฐานการชำระหนี้ค่าภาษีของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 และ 47 จำนวน 2,034.54 บาท และ 200 บาท ซึ่งก็คือแบบขอชำระภาษีอากรค้าง ทป.3 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2529 และวันที่ 5 มีนาคม 2539 อันเป็นการชำระค่าภาษีค้างตามหนังสือใบแจ้งการค้างชำระภาษีอากรเลขที่ 9122/1/03897ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2528 จำเลยให้การไว้ต่อนายวรนิตย์ตามเอกสารหมายจ.4 แผ่นที่ 12 ว่า จำเลยเคยนำเงินไปชำระค่าภาษีอากรจำนวน 2 ครั้ง ครั้งละ 2,000 บาท ครั้งที่ 1 ไปชำระปี พ.ศ. เท่าใด จำไม่ได้ แต่ก่อนที่ให้นางปริก ศรีหมอก ไปชำระครั้งที่ 2 ไปชำระภายหลังที่นางปริก ศรีหมอก ไปชำระแทนจำเลย แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ไม่รับชำระเนื่องจากไม่พอดอกเบี้ย ส่วนเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 จำเลยให้การไว้ต่อนายวรนิตย์ว่า จำเลยไม่เคยนำเงินจำนวน 200 บาท ไปชำระ ณ สำนักงานกรมสรรพากรอำเภอเมืองตรัง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เนื่องจากจำเลยป่วยและลายมือชื่อในช่องผู้ชำระภาษีไม่ใช่เป็นลายมือชื่อของจำเลยเห็นว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ชำระภาษีอากรตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 ที่โจทก์อ้างว่า เป็นลายมือชื่อของจำเลยนั้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออื่น ๆ ของจำเลย ปรากฏว่าในการลงลายมือชื่อของจำเลยทุกครั้ง จำเลยจะใช้คำว่า นาย นำหน้าชื่ออันเป็นการลงลายมือชื่อด้วย ดังปรากฏตามลายมือชื่อของจำเลยในใบรับลงทะเบียนเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 9 ด้านหลังและคำให้การตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 ถึงที่ 13 การที่โจทก์อ้างว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 เป็นลายมือชื่อของจำเลยนั้นจึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ชำระภาษีอากรในเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 และฟังไม่ได้ว่าตัวแทนของจำเลยเป็นผู้ชำระภาษีอากรแทนจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยได้ชำระภาษีจำนวน 2,043.5 บาท เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงในวันดังกล่าว แต่เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 ถึง 13 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้วคดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ

ส่วนหนี้ค่าภาษีอากรตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้เอกสารหมาย จ.4แผ่นที่ 9 และแผ่นที่ 10 ซึ่งจำเลยได้รับเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2529 และวันที่ 18 มีนาคม 2529 ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระหนี้ค่าภาษีแต่ประการใดเมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ส่วนนี้เป็นอันขาดอายุความเช่นกัน ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีนี้มีการยึดทรัพย์สินของจำเลยตามประมวลรัษฎากรเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้าง อายุความย่อมสะดุดหยุดลงนั้น เห็นว่าอายุความจะสะดุดหยุดลงได้ก็เมื่อมีกรณีต้องด้วยมาตรา 193/14 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการยึดทรัพย์ตามประมวลรัษฎากรหาได้เป็นการกระทำอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่

ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปมีว่า การที่จำเลยทำหนังสือยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 9 ถึง 12อันเป็นเวลาหลังจากคดีขาดอายุความแล้ว โจทก์จะนำคดีมาฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์ได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11ถึง 13 ยอมรับชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์แล้ว หนังสือดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคสอง ซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าว มีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/35 ดังนั้น เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพความรับผิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 12 และ 13 กับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ถึงวันฟ้องวันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยังไม่เกิน2 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์มีนายวรนิตย์มาเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์จำนวน 235,709.54 บาท ตามหนังสือหมาย จ.4 แผ่นที่ 16 และจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งจำนวนหนี้ดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์”

พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 235,709.54 บาทแก่โจทก์

Share