แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทั้งสิบสองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท 2 แปลง ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยให้โจทก์ได้ที่ดินแปลงละ 1 ไร่ และระบุตำแหน่งที่ดินส่วนของโจทก์ไว้ด้วยอันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 (12) ในขณะที่จำเลยที่ 12 เป็นผู้เยาว์โดยไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากศาล ข้อตกลงในเรื่องการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 เท่ากับว่ากรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 12 ยังคงครอบไปเหนือที่ดินพิพาททั้งหมดตามส่วนของตนจนกว่าจะมีการแบ่งแยก ซึ่งมีผลไม่เพียงแต่เฉพาะในเรื่องการกำหนดตำแหน่งของที่ดินเท่านั้น แต่ยังมีผลรวมตลอดไปถึงจำนวนเนื้อที่ดินด้วย เพราะหากแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แปลงละ 1 ไร่ ตามข้อตกลงแล้ว ที่ดินพิพาทในส่วนที่เหลือย่อมจะมีจำนวนลดน้อยลง และไม่อาจนำมาแบ่งให้แก่จำเลยทั้งสิบสองได้ในจำนวนเท่าๆ กัน โดยไม่กระทบถึงสิทธิในจำนวนเนื้อที่ดินที่จำเลยที่ 12 จะพึงได้รับ เมื่อข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 และมีผลกระทบจึงจำนวนเนื้อที่ดินตลอดจนตำแหน่งของที่ดินที่จะแบ่งแยกเช่นนี้แล้วย่อมเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันไม่อาจแบ่งแยกออกได้จากนิติกรรม ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ได้ร่วมกระทำ ข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ด้วย โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสิบสองแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนตามข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสองไปดำเนินการลงชื่อจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมเพื่อออกโฉนดใหม่ให้แก่โจทก์โฉนดละ 1 ไร่ ตามคำขอรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม และบันทึกถ้อยคำ โดยให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินเลขที่ 38145 และ 38163 ไปจดทะเบียนแบ่งแยก ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี หากจำเลยทั้งสิบสองไม่ไป ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสิบสอง และหากจำเลยที่ 1 ไม่นำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนแบ่งแยกขอให้ศาลมีคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี เพื่อให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 38145 และ 38163 ใหม่เพื่อดำเนินการตามคำขอท้ายฟ้องให้เสร็จสิ้น ให้โจทก์รับโฉนดที่ดินใหม่ 2 โฉนด ในส่วนของโจทก์ที่ได้รังวัดแบ่งแยกออกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 38145 และ 38163 จากเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 12 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 38163 และโฉนดเลขที่ 38145 ตำบลทรายกองดิน อำเภอมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เนื้อที่แปลงละ ตารางวา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 38163 และโฉนดเลขที่ 38145 ตำบลทรายกองดิน อำเภอมีนบุรี (เมือง) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่แปลงละ 1 ไร่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์และจำเลยทั้งสิบสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 84 ตารางวา และ 3 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา ตามลำดับ โจทก์และจำเลยทั้งสิบสองได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันโดยให้โจทก์ได้ที่ดินแปลงละ 1 ไร่ ที่ดินแปลงแรกให้ส่วนของโจทก์อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ทางด้านทิศใต้ติดกับถนนประชาร่วมใจ ส่วนที่ดินแปลงหลังส่วนของโจทก์อยู่ทางด้านทิศใต้ สำหรับที่ดินที่เหลือหลังจากแบ่งให้โจทก์แล้วเป็นส่วนของจำเลยทั้งสิบสอง และโจทก์กับจำเลยทั้งสิบสองได้ไปพบเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2535 เพื่อขอแบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้บันทึกถ้อยคำข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวม และทำใบนัดทำการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมให้โจทก์และจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ โดยขณะนั้นจำเลยที่ 12 ยังเป็นผู้เยาว์ ต่อมาวันที่ 7 และวันที่ 10 สิงหาคม 2535 โจทก์และจำเลยทั้งสิบสองได้นำนายไพโรจน์ ปฐมทินกรกุล เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินส่วนของโจทก์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 38145 และ 38163 ตามลำดับ ซึ่งนายไพโรจน์ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินในส่วนของโจทก์มีเนื้อที่และตำแหน่งที่ดินตามข้อตกลงและได้ทำบันทึกถ้อยคำการรังวัดแบ่งแยกให้โจทก์และจำเลยทั้งสิบสองลงชื่อไว้ และนายไพโรจน์ได้วาดรูประวางแผนที่ของที่ดินที่โจทก์ได้รับการแบ่งแยกว่าอยู่ตรงส่วนไหนของที่ดินเดิมตามข้อตกลงแล้วตามสำเนารูประวางแผนที่ แต่จำเลยทั้งสิบสองไม่ยอมไปพบเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลง ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 38145 และ 38163 เนื้อที่แปลงละ 1 ไร่ โดยมิได้ระบุที่ดินที่โจทก์ได้รับส่วนแบ่งอยู่ตรงส่วนไหนของที่ดินแต่ละแปลง โจทก์จึงฎีกาขอให้ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่มิได้ระบุว่าที่ดินที่โจทก์ได้รับส่วนแบ่งอยู่บริเวณใดของที่ดินแต่ละแปลง และพิพากษาให้โจทก์ได้เนื้อที่ดินแปลงละ 1 ไร่ ตามที่ได้ตกลงแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ไว้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการทำนิติกรรมบางประการอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ไว้มีผลทำให้ผู้เยาว์หรือผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำนิติกรรมดังกล่าวมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้มีการคุ้มครองทรัพย์สินและกิจการบางอย่างที่สำคัญของผู้เยาว์ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 12 ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกับโจทก์นั้นมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (12) ในขณะที่จำเลยที่ 12 เป็นผู้เยาว์โดยไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากศาล ข้อตกลงในเรื่องการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 เมื่อข้อตกดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 แล้ว ย่อมเท่ากับว่ากรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 12 ยังคงครอบไปเหนือที่ดินพิพาททั้งหมดตามส่วนของตนจนกว่าจะมีการแบ่งแยก ซึ่งมีผลไม่เพียงแต่เฉพาะในเรื่องการกำหนดตำแหน่งของที่ดินตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเท่านั้น แต่ยังมีผลรวมตลอดไปถึงจำนวนเนื้อที่ดินด้วยเพราะหากแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แปลงละ 1 ไร่ ตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ที่ดินพิพาทในส่วนที่เหลือย่อมจะมีจำนวนลดน้อยลง และไม่อาจนำมาแบ่งให้แก่จำเลยทั้งสิบสองได้ในจำนวนเท่าๆ กันโดยไม่กระทบถึงสิทธิในจำนวนเนื้อที่ดินที่จำเลยที่ 12 จะพึงได้รับ ทั้งกรณีไม่อาจที่จะแบ่งที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 12 ก่อนแล้วแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์แปลงละ 1 ไร่ หลังจากนั้นจึงนำมาแบ่งกันในระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยด้วยเพราะพฤติการณ์แห่งคดีไม่อาจพึงสันนิษฐานได้ว่าในขณะทำข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินนี้ คู่ความทั้งสองฝ่ายจะมีเจตนายินยอมให้ดำเนินการแบ่งที่ดินในลักษณะเช่นนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 และมีผลกระทบถึงจำนวนเนื้อที่ดินตลอดจนตำแหน่งของที่ดินที่จะแบ่งแยกเช่นนี้แล้วย่อมเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันไม่อาจแบ่งแยกออกได้จากนิติกรรมซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ได้ร่วมกระทำ ข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ด้วย โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสิบสองแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนตามข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามฟ้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์