คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4854/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสอง แต่เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ใหญ่บ้านได้รับมอบอำนาจจากองค์การบริหารส่วนตำบลให้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองในข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ และโต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้เป็นการพิพาทกันในตัวทรัพย์คือที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ จึงเป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องว่า ที่ดินที่พิพาทมีราคาไม่น้อยกว่า 100,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ทุนทรัพย์แห่งคดีในชั้นฎีกาจึงมีจำนวน 100,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 100 ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านหนองลุมพุก ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ ประมาณต้นปี 2540 โจทก์ทั้งสองนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และโฉนดที่ดิน จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ว่างและเป็นสาธารณประโยชน์ส่วนรวม ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถออกเอกสารสิทธิในที่ดินได้ ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่น ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 12 และหมู่ที่ 1 บ้านหนองลุมพุก ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ตามลำดับ มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตหมู่บ้านตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 และดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณะประโยชน์ในเขตหมู่บ้านตามที่ได้รับมอบหมายจากองค์การบริหารส่วนตำบลลือตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 จำเลยทั้งสองได้รับมอบอำนาจจากองค์การบริหารส่วนตำบลลือให้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีโจทก์ทั้งสองในข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ และโต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์ทั้งสองนำที่ดินซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดศรีสุขแปลงที่ 2 เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 12 บ้านหนองลุมพุก ไปขอออกเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินที่โจทก์ทั้งสองนำไปออกเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และโฉนดที่ดินนั้น มิใช่เป็นของโจทก์ทั้งสอง แต่เป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของวัดศรีสุข ต่อมาได้กลายเป็นวัดร้าง ไม่มีผู้คนครอบครอง โจทก์ทั้งสองเข้ามาบุกรุกเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2539 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้ตกเป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองถอนคำคัดค้านการขอรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เพื่อออกโฉนดที่ดินที่พิพาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คำขออื่นให้ยกเสีย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 2,300 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ตกเป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสอง แต่เป็นที่สาธารณประโยชน์ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ใหญ่บ้านได้รับมอบอำนาจจากองค์การบริหารส่วนตำบลลือให้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองในข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ และโต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้เป็นการพิพาทกันในตัวทรัพย์คือที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ จึงเป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่ถูกต้อง โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องว่า ที่ดินพิพาทมีราคาไม่น้อยกว่า 100,000 บาท และโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในทุนทรัพย์แห่งคดีจำนวน 100,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ทุนทรัพย์แห่งคดีในชั้นฎีกาจึงมีจำนวน 100,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ข้อเท็จจริงไม่อาจฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เอกสารหมาย จ.1 (เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1) แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ว่างไม่ใช่ที่ดินที่โจทก์ทั้งสองครอบครองหรือมีสิทธิครอบครองแต่อย่างใดเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาแล้วว่า แม้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) จะระบุว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้แจ้งการครอบครองมีเนื้อที่เพียง 14 ไร่ ก็ตาม ซึ่งการแจ้งการครอบครองในสมัยเดิมเป็นเพียงการประมาณเนื้อที่เท่านั้น มิได้มีการรังวัดสอบเขตให้ถูกต้อง ทั้งแผนที่ประกอบในแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) ก็ไม่ถูกต้อง ตามข้อเท็จจริงโจทก์ทั้งสองอาจครอบครองที่ดินเป็นเนื้อที่มากกว่าที่ระบุไว้ในแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) ก็เป็นได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว และตามพยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองนำมาสืบมาไม่อาจรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์หรือที่สาธารณประโยชน์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ และแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นว่า ไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 2,300 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.

Share