แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 เรียกและรับเงินจำนวน 1,000,000 บาท ไปจากผู้เสียหายเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยวิธีอันทุจริต ให้กระทำการในหน้าที่โดยพิพากษาคดีให้เป็นคุณแก่ผู้เสียหายให้ผู้เสียหายชนะคดีในชั้นศาลฎีกานั้นครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว จำเลยที่ 1 จะได้ไปจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ผู้เสียหายหรือไม่ หาใช่องค์ประกอบของความผิดไม่ ดังนั้นแม้ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปก่อนที่จำเลยที่ 1 จะได้เรียกและรับเงินจากผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ย่อมไม่สามารถจะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ผู้เสียหายได้ทันก็ตาม ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันอ้างต่อนายเฉลิมศักดิ์เบญจานุวัตร ว่าจำเลยทั้งสองรู้จักผู้พิพากษาศาลฎีกา สามารถติดต่อกับผู้พิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวให้พิจารณาพิพากษาคดีให้ฝ่ายของเฉลิมศักดิ์ชนะคดีได้ แล้วจำเลยทั้งสองได้เรียกเอาเงินจำนวน1,100,000 บาท จากนายเฉลิมศักดิ์โดยอ้างว่าจะนำเอาไปให้แก่ผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการดังกล่าว โดยวิธีการอันทุจริตเพื่อกระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่นายเฉลิมศักดิ์ จนนายเฉลิมศักดิ์ยอมจ่ายเงินให้จำเลยทั้งสองไปเป็นเงิน 1,000,000บาท เพื่อกระทำการดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 143
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ให้จำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาผู้ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ขณะจำเลยที่ 1เรียกและรับเงินจากนายเฉลิมศักดิ์นั้น ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปแล้ว วัตถุประสงค์ในการกระทำได้ผ่านพ้นไปแล้วจึงขาดองค์ประกอบของความผิดนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 เรียกและรับเงินจำนวน 1,000,000 บาทไปจากนายเฉลิมศักดิ์เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยวิธีอันทุจริต ให้กระทำการในหน้าที่โดยพิพากษาคดีให้เป็นคุณแก่นายเฉลิมศักดิ์ให้นายเฉลิมศักดิ์ชนะคดี ในชั้นศาลฎีกานั้นครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143แล้ว จำเลยที่ 1 จะได้ไปจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่นายเฉลิมศักดิ์หรือไม่หาใช่องค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ไม่ดังนั้นแม้ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปก่อนที่จำเลยที่ 1จะได้เรียกและรับเงินจากนายเฉลิมศักดิ์ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่สามารถจะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นคุณแก่นายเฉลิมศักดิ์ได้ทันก็ตาม ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใดฎีกาของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดจึงฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน