แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อ ด. ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งในฐานะเจ้าของรวมยื่นคำคัคค้านเข้าไปในคดีแพ่งที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของกองมรดกนั้นเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ทายาททุกคนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ประกอบมาตรา 1745 ผลแห่งคดีตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยย่อมต้องผูกพันถึงโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าของรวม การที่โจทก์ทั้งห้ายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นเจ้าของโจทก์ทั้งห้ากับพวก เท่ากับขอให้ศาลมีคำวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้ากับพวกหรือของจำเลย ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 และการที่ ด. ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของกองมรดกและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคดีอื่นนั้น เป็นการที่ ด. ในฐานะเจ้าของรวมใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ย่อมมีอำนาจทำได้โดยลำพัง โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีแพ่งดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นมูลฟ้องของโจทก์ทั้งห้าคดีนี้อาศัยข้ออ้างที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของกองมรดก คำฟ้องที่โจทก์ทั้งห้ายื่นฟ้องขึ้นมาใหม่ในคดีนี้ จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีแพ่งที่ ด. ฟ้องจำเลยเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 17 ตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งห้าและเป็นมรดกของนายประสิทธิ์ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 17 ให้ตกเป็นของจำเลยและเพิกถอนรายการจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินของจำเลยในโฉนดที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงดังกล่าว
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งห้าเป็นฟ้องซ้อนกันคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2538 ของศาลจังหวัดอำนาจเจริญ ที่ศาลจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 801/2537 และเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 628/2539 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นบุตรของนายประสิทธิ์ และนางดาวเรือง เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประสิทธิ์ นายประสิทธิ์ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2536 และศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 2 กับนางดาวเรืองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประสิทธิ์ร่วมกัน เดิมที่ดินพิพาทมีชื่อนายประสิทธิ์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นโจทก์ที่ 2 และนางดาวเรืองในฐานะผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2537 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลจังหวัดอำนาจเจริญ ขอให้มีคำสั่งว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ โดยมีนางดาวเรืองยื่นคำคัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายประสิทธิ์ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 801/2537 ของศาลจังหวัดอำนาจเจริญ ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2538 นางดาวเรืองได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของกองมรดก จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1404/2538 และคู่ความท้ากันให้ถือเอาผลของคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 801/2537 ของศาลจังหวัดอำนาจเจริญเป็นข้อแพ้ชนะ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลของคดีดังกล่าว ในส่วนของคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 801/2537 นั้น ต่อมาศาลจังหวัดอำนาจเจริญมีคำพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 628/2539 คดีถึงที่สุดแล้ว ครั้นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์ทั้งห้ายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งห้าและเป็นมรดกของนายประสิทธิ์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าข้อแรกมีว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งห้าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 628/2539 ของศาลจังหวัดอำนาจเจริญ และเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2538 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เมื่อนางดาวเรืองซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งในฐานะเจ้าของรวมยื่นคำคัดค้านเข้าไปในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 801/2537 ของศาลจังหวัดอำนาจเจริญอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของกองมรดกนั้น เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อประโยชน์แก่ทายาททุกคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ประกอบมาตรา 1745 ผลแห่งคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 628/2539 ซึ่งศาลจังหวัดอำนาจเจริญมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ย่อมต้องผูกพันถึงโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าของรวม การที่โจทก์ทั้งห้ายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้ากับพวกเท่ากับขอให้ศาลมีคำวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้ากับพวกหรือของจำเลยย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง และการที่นางดาวเรืองฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของกองมรดกและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคดีอื่น ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2538 นั้น เป็นการที่นางดาวเรืองในฐานะเจ้าของรวมใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ย่อมมีอำนาจทำได้โดยลำพังโจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2538 ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น มูลฟ้องของโจทก์ทั้งห้าคดีนี้อาศัยข้ออ้างที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของกองมรดก คำฟ้องที่โจทก์ทั้งห้ายื่นฟ้องขึ้นมาใหม่ในคดีนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2538 เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) โจทก์ทั้งห้าไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งห้าอีกต่อไป”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ