แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำบรรยายฟ้องของโจทก์อ้างว่า โจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทประการหนึ่ง และโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงระหว่าง บ.กับจำเลยอีกประการหนึ่ง การบรรยายฟ้องของโจทก์แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องที่ไปด้วยกันได้ ไม่ขัดกันและไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงของจำเลยกับ บ. เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกใช้สิทธิถือเอาประโยชน์จากสัญญาระหว่างจำเลยกับบ. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคสอง หาใช่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่ ฉะนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ บ. จะมีหรือไม่ และต้นฉบับจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญของคดี และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นไว้และจำเลยมิได้โต้แย้ง ถือว่าจำเลยสละประเด็นนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับคุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู โจทก์ได้ชำระเงินแล้ว คุณหญิงบุญเลื่อนได้มอบการครอบครองแก่โจทก์นับแต่วันทำสัญญา และยอมให้โจทก์ขุดดินถมดินล้อมรั้ว โจทก์ได้เข้าครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินด้วยความสงบ เปิดเผยมาจนปัจจุบันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ต่อมาคุณหญิงบุญเลื่อนได้นำที่ดินดังกล่าวพร้อมที่ดินแปลงอื่นไปจำนองกับจำเลยทั้งสี่เพื่อประกันหนี้ของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ธนกิจจำกัด และได้ทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยทั้งสี่ว่า จะนำที่ดินดังกล่าวพร้อมกับที่ดินแปลงอื่น ๆ ชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสี่ตามสัญญาจำนองแต่ได้ยกเว้นที่ดินฝั่งตะวันตกของถนนสุขาภิบาล 1 ไว้ และเมื่อจำเลยทั้งสี่ได้ทำการรังวัดเพื่อแบ่งแยกเป็นถนนสุขาภิบาล 1ออกเสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือทางฝั่งตะวันตกของถนนสุขาภิบาล 1ดังกล่าว จำเลยทั้งสี่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์โดยไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ และจำเลยทั้งสี่จะต้องเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการโอนและค่าภาษีทั้งสิ้น ต่อมาคุณหญิงบุญเลื่อนได้โอนที่ดินชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสี่ เมื่อจำเลยทั้งสี่ได้รับโอนที่ดินดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสี่ก็ได้ทำการแบ่งแยกที่ดิน หักเป็นถนนสุขาภิบาล 1แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสี่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์เพื่อทำการจดทะเบียน หากจำเลยทั้งสี่ขัดขืนก็ขอให้ศาลแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินใหม่แทนเพื่อทำการจดทะเบียน โดยให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกค่าฤชาธรรมเนียมในการโอนที่ดิน ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันจะพึงมีด้วย จำเลยทั้งสี่ให้การว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับคุณหญิงบุญเลื่อนไม่ผูกพันจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและที่ดินแปลงอื่นจากคุณหญิงบุญเลื่อนเพื่อใช้หนี้จำเลยทั้งสี่ได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จึงเป็นเจ้าของที่ดินโดยชอบ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อขาย เป็นการครอบครองแทนคุณหญิงบุญเลื่อน จึงไม่ได้สิทธิตามกฎหมาย โจทก์ชำระค่าที่ดินให้คุณหญิงบุญเลื่อนเพียง 20 ตารางวา และตามบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ระบุว่า จำเลยตกลงกับคุณหญิงบุญเลื่อนจะโอนที่ดินให้แก่โจทก์เพียง 10 ตารางวา โจทก์จึงมีสิทธิได้ที่ดินไม่เกิน 10 ตารางวา ข้อตกลงระหว่างจำเลยกับคุณหญิงบุญเลื่อนเป็นเรื่องที่จำเลยตกลงให้ที่ดินแก่โจทก์โดยเสน่หา เมื่อไม่ได้จดทะเบียนการให้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยไม่อาจทราบได้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้โอนที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อขาย หรือฟ้องว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย และเมื่อพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 3353ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ พร้อมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โดยจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการโอน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมทั้งค่าภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องในประเด็นการครอบครองปรปักษ์ และประเด็นเรื่องผิดสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาในเวลาเดียวกัน จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น พิเคราะห์แล้วตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2518 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3353 กับคุณหญิงบุญเลื่อนโดยโจทก์ตกลงซื้อที่ดินเฉพาะส่วนที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของถนนสุขาภิบาล 1 เนื้อที่ประมาณ 20 ตารางวา ในราคา 80,000 บาทโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินครบถ้วนในวันทำสัญญาแล้ว คุณหญิงบุญเลื่อนได้มอบการครอบครองที่ดินตั้งแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยความสงบ และเปิดเผยตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ต่อมาวันที่ 19 เมษายน 2527 คุณหญิงบุญเลื่อนกับพวกได้ทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยทั้งสี่ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ข้อ 10 โดยจำเลยทั้งสี่ยอมให้ฝ่ายคุณหญิงบุญเลื่อนกับพวกไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นถนนสุขาภิบาล 1 ออกไป และจำเลยทั้งสี่ยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่ระบายสีแดงให้แก่โจทก์ เมื่อแบ่งแยกที่ดินแล้วจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่ระบายสีแดงให้แก่โจทก์ เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าว โจทก์อ้างว่า โจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทประการหนึ่ง และโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ตามบันทึกข้อตกลง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ข้อ 10 อีกประการหนึ่งจริง แต่การบรรยายฟ้องดังกล่าวก็แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องที่ไปด้วยกันได้ ไม่ขัดกันและไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด
ข้อที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาต่อมาว่า จำเลยที่ 3 ไม่ทราบและไม่รับรองว่า โจทก์จะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับคุณหญิงบุญเลื่อนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 หรือไม่ เอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ต้นฉบับไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่ระบายสีแดงให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงของจำเลยทั้งสี่กับคุณหญิงบุญเลื่อน เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ข้อ 10 เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกใช้สิทธิถือเอาประโยชน์จากสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสี่กับคุณหญิงบุญเลื่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 วรรคสอง หาใช่โจทก์ฟ้องให้บังคับตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่ ฉะนั้น สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับคุณหญิงบุญเลื่อนจะมีหรือไม่ และต้นฉบับจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสำคัญของคดี และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ข้อ 10 เป็นนิติกรรมที่จำเลยทั้งสี่ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยเสน่หา แต่นิติกรรมดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปัญหาข้อนี้ ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ และจำเลยไม่ได้โต้แย้งถือว่าจำเลยที่ 1 ได้สละประเด็นนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน