คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2561/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาซื้อยางแอสฟัลต์ซีเมนต์จากจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้ถูกต้องตามสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาริบหลักประกันและในระหว่างที่ยังไม่บอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสินค้าที่ยังไม่ส่งมอบนับแต่วันครบกำหนดส่งมอบถึงวันบอกเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ตามกำหนดในสัญญา โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาในทันที แต่โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งสินค้าและแจ้งสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับ จำเลยที่ 1 มีหนังสือตอบรับยินยอมชำระค่าปรับตามสัญญา พฤติการณ์ถือได้ว่าความเสียหายพิเศษของโจทก์ในส่วนนี้ จำเลยที่ 1 ได้คาดเห็นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 จำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันต้องชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นรายวัน
โจทก์เป็นส่วนราชการจะได้รับความเสียหายจากงานของราชการไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการซึ่งเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่คู่ความได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคสอง และคู่กรณีจะต้องรับข้อเท็จจริงกันหรือนำพยานหลักฐานมาสืบให้ปรากฏ แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นพิเศษอย่างไร จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องในส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 2,803,525.32 บาท โดยจำเลยที่ 3 รับผิดไม่เกิน 94,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 629,781.50 บาท และให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดด้วยในต้นเงินจำนวน 94,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มิถุนายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายยางแอสฟัลต์ ซีเมนต์ กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ส่งมอบยางแอสฟัลต์ซีเมนต์ที่ขายให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2531 มีจำเลยที่ 3 ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาในวงเงิน 94,300 บาท ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบยางแอสฟัลต์ซีเมนต์ดังกล่าวให้ถูกต้องตามสัญญาแก่โจทก์ผู้ซื้อ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันโดยเรียกร้องตามสัญญาค้ำประกันจากจำเลยที่ 3 และในระหว่างที่ยังไม่มีการบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคายางแอสฟัลต์ ซีเมนต์ ที่ยังไม่ส่งมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบในสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ส่งยางแอสฟัลต์ซีเมนต์ให้โจทก์ตามกำหนดในสัญญา โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันที โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งสินค้าและแจ้งสงวนสิทธิการปรับ จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือตอบรับยินยอมชำระค่าปรับตามสัญญาแล้วพฤติการณ์จึงถือได้ว่าความเสียหายพิเศษของโจทก์ส่วนนี้จำเลยที่ 1 ได้คาดเห็นแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 ประกอบกับหลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา จำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันต้องรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสินค้าให้โจทก์ ปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์จึงมีว่า โจทก์ได้เสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษหรือไม่ และการกำหนดค่าปรับไว้ในสัญญาเป็นการบังคับโดยเด็ดขาดหรือไม่ว่าค่าปรับจะต้องให้เป็นไปตามนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งสินค้ายางแอสฟัลต์ซีเมนต์ให้โจทก์ตามกำหนดซึ่งโจทก์จะเรียกค่าเสียหายใดๆ เช่น โจทก์เป็นส่วนราชการจะได้รับความเสียหายจากงานของราชการไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการ ซึ่งเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่คู่ความได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคสอง บัญญัติไว้ พร้อมทั้งพฤติการณ์พิเศษนั้นคู่กรณีจะต้องรับข้อเท็จจริงกันหรือนำพยานหลักฐานมาสืบให้ปรากฏ แต่กรณีนี้โจทก์มิได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าโจทก์ได้เสียหายเป็นพิเศษอย่างใด ส่วนค่าปรับตามสัญญานั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก บัญญัติว่า ถ้าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย แสดงว่าเบี้ยปรับแม้จะได้กำหนดกันไว้ในสัญญาก็ตาม แต่ก็มิได้บังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าจะต้องปรับให้เป็นไปตามนั้น ดังนั้น ศาลย่อมใช้ดุลยพินิจลดค่าปรับหรือเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้ สำหรับกรณีนี้โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏชัดแจ้งว่าโจทก์เสียหายเต็มตามจำนวนค่าปรับที่กำหนดไว้ในสัญญา เมื่อคำนึงถึงทางได้เสียของโจทก์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เบี้ยปรับที่โจทก์เรียกร้องมานั้นสูงเกินส่วน โดยลดลงเหลือ 283,000 บาท นั้น เหมาะสมแก่ความเสียหายของโจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share