คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 เป็นบทบัญญัติสำหรับกรณีซื้อขายจะนำมาอนุโลมใช้บังคับแก่กรณีเช่าซื้อไม่ได้เพราะสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าที่มีคำมั่นว่าจะขายเพิ่มเข้ามาด้วยเท่านั้นไม่มีลักษณะเหมือนสัญญาซื้อขาย
โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถกับจำเลยที่ 1 โดยทราบดีอยู่แล้วว่ารถเป็นของจำเลยที่ 3 และข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 3 มอบให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนขายรถคันนี้ก็ฟังไม่ได้ หากว่าได้มีบุคคลใดในห้างจำเลยที่ 1 อ้างต่อโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายรถคันนี้ก็เป็นการกล่าวอ้างเอาอย่างเลื่อนลอย และโจทก์ก็เชื่อถือด้วยความประมาทเลินเล่อดังนี้ โจทก์จะอ้างว่าโจทก์เช่าซื้อมาโดยสุจริตและจะขอให้นำมาตรา 1332 มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 1 คันราคา 33,000บาท รถนี้จอดไว้ในห้างจำเลยที่ 1 เพื่อบอกขายซึ่งเป็นปกติธุระของจำเลย ในการทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์มอบให้ร้อยตำรวจเอกฉัตรเป็นผู้ลงนามในฐานะผู้รับเช่าซื้อ ฝ่ายจำเลยมอบให้นายอรรถจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามในฐานะเป็นตัวแทนให้เช่าซื้อ จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถคันพิพาทโดยทางทะเบียน แต่ได้มอบให้จำเลยที่ 1, 2 เป็นตัวแทนซื้อขายรถคันนี้ โจทก์ได้รับมอบรถและชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญากับในงวดต่อมาอีก 2 งวด รวม 33,000 บาท เมื่อชำระครบแล้วจำเลยไม่โอนทะเบียนรถยนต์ให้ ขอให้บังคับให้โอนทะเบียนรถยนต์ให้ภายใน 7 วัน

จำเลยที่ 1 และ 2 ขาดนัด

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของรถคันพิพาท นายเส็งได้เช่ารถคันนี้ไปจากจำเลยที่ 3 ๆ ไม่เคยมอบหมายหรือเชิดให้จำเลยที่ 1, 2 เป็นตัวแทนขายรถคันพิพาท ไม่เคยมอบให้รับเงินแทนและสัญญาก็ไม่สมบูรณ์ ขอให้ยกฟ้อง กับฟ้องแย้งให้โจทก์ส่งคืนรถแก่จำเลยที่ 3 หรือใช้ราคา

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง โดยอ้างด้วยว่าเมื่อโจทก์ได้รับซื้อรถคันพิพาทมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับมอบรถมาครอบครองแล้วโจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ส่งคืนรถแก่จำเลยที่ 3 หรือใช้ราคา

โจทก์อุทธรณ์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า จะฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายรถคันนี้ยังไม่ได้ หากว่าได้มีบุคคลใดในห้างจำเลยที่ 1 อ้างต่อร้อยตำรวจเอกฉัตรว่าจำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายรถคันพิพาท ก็เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย และร้อยตำรวจเอกฉัตรก็เชื่อถือด้วยความประมาทเลินเล่อที่โจทก์อ้างความคุ้มครองตามมาตรา 1332 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น เห็นว่ามาตรานี้เป็นบทบัญญัติสำหรับกรณีซื้อขาย จะนำมาอนุโลมใช้บังคับแก่กรณีเช่าซื้ออย่างคดีนี้หาได้ไม่ เพราะสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าที่มีคำมั่นว่าจะขายเพิ่มเข้ามาด้วยเท่านั้นจงไม่มีลักษณะเหมือนสัญญาซื้อขาย นอกจากนั้นเมื่อตามคำของร้อยตำรวจเอกฉัตรก็แสดงว่าฝ่ายโจทก์ทราบดีอยู่แล้วในวันทำสัญญาเช่าซื้อว่า รถคันพิพาทเป็นรถของจำเลยที่ 3 มิใช่ของจำเลยที่ 1, 2 ประกอบกับข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 3 มอบให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนขายรถคันนี้ ก็ฟังไม่ได้ แต่ฝ่ายโจทก์เชื่อถือเอาอย่างเลื่อนลอยดังได้วินิจฉัยแล้วนั้น โจทก์จะมาอ้างว่าโจทก์ซื้อรถคันพิพาทมาโดยสุจริตไม่ได้อีกด้วย สรุปแล้ว โจทก์จะอ้างมาตรา 1322 นั้นมาสนับสนุนคดีโจทก์ไม่ได้

เมื่อวินิจฉัยข้ออื่นด้วยแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share