คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่โจทก์ฎีกาและศาลฎีกาสั่งให้รอการพิจารณาคดีไว้เพื่อฟังผลของอีกคดีหนึ่งก่อน เมื่อคดีนั้นถึงที่สุดแล้ว ให้โจทก์แถลงให้ศาลทราบภายใน 10 วันนั้น หากคดีที่สั่งให้รอถึงที่สุด และโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติการดังข้อกำหนดของศาลแต่ประการใดแล้ว ก็ถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำพาในการดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด เป็นการทิ้งฟ้อง ต้องจำหน่ายคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นน้องสาวไปตกลงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๖๖ และ ๔๕๐๑ จากเจ้าของแทนโจทก์ ในราคา ๒๒,๐๐๐ บาท โจทก์ได้มอบเงินพร้อมลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์ของกรมที่ดินรวม ๓ ฉบับ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความอื่น ละไว้ให้จำเลยกรอกเองเมื่อจำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินและโอนโฉนดในนามโจทก์โดยใช้ใบมอบฉันทะเพียงฉบับเดียว คงมีใบมอบฉันทะตกอยู่ที่จำเลยที่ ๑ อีก ๒ ฉบับ ครั้นวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๙๖ จำเลยทั้งสามสมคบกันโกงโจทก์โดยเอาลายมือชื่อที่โจทก์มอบให้ไว้ไปกรอกข้อความเป็นหนังสือมอบอำนาจปลอมขึ้น ความว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ขายที่ดิน ๒ แปลงแก่จำเลยที่ ๑ แทนโจกท์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๓ รับโอนแทน แล้วนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน จัดการโอนที่ดินแก่จำเลยที่ ๑ ในวันนั้น ความจริงโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจหรือขายเลย จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยเสีย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ซื้อที่ดินพิพาทด้วยทุนทรัพย์ ของตนเอง แต่ทีใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของเพื่อป้องกันไม่ให้สามีได้ส่วนแบ่ง ครั้นจำเลยที่ ๑ มีบุตรจึงได้ให้โจทก์มอบอำนาจทำการโอนที่ดินนั้นมาเป็นของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ และ ๓ ให้การว่า ได้รับมอบให้ทำการโอนที่ดินพิพาทแทนโจทก์และจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วฟังว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ของโจทก์ การที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ ๒ โอนที่ดินและบ้านกลับคืนมาเป็นของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับมอบอำนาจแทนจำเลยที่ ๑ จึงชอบแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกคืน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เนื่องจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาหาว่าสมคบกันทำหนังสือสำคัญและยักยอกลายมือในกรณีเดียวกันนี้ต่อศาลอาญาอีกคดีหนึ่ง คือ คดีอาญาดำที่ +๔๒๖/๒๔๙๘ ศาลฎีกาจึงสั่งเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๐๒ ว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่ง เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาส่วนอาญา จึงเห็นสมควรให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลของคดีอาญาที่กำลังพิจารณาอยู่นั้นก่อน เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้โจทก์มาแถลงให้ศาลฎีกาทราบภายใน ๑๐ วัน และให้ส่งคำสั่งนี้ไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความทราบ แล้วส่งคืนศาลฎีกาโดยเร็ว และศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวให้คู่ความทราบแล้วตั้งแต่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๒
บัดนี้ คดีอาญาเลขดำที่ ๑๔๒๖/๒๔๙๘ แดงที่ ๑๕๖๑/๒๔๙๘ ของศาลอาญานั้น ศาลฎีกาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้ว เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๐๖ นับแต่วันนั้นจนกระทั่งบัดนี้กาลล่วงเลยกำหนดเวลา ๑๐ วัน ตามที่ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้โจทก์แถลงผลคดีอาญาเรื่องนั้นให้ศาลฎีกาทราบแล้ว แต่โจทก์ก็หาได้ปฏิบัติการดังข้อกำหนดของศาลฎีกาแต่ประการใดไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่นำพาในการดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น โดยได้สั่งให้โจทก์ทราบโดยชอบแล้วเช่นนี้ ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔(๒) อาศัยมาตรา ๑๓๒ (๑) จึงพร้อมกันมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้เสียจากสารบบความของศาลฎีกา คืนค่าตัดสิน ค่าบังคับแก่โจทก์

Share