แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ถือได้ว่ากฎหมายให้เจ้าของที่ดินริมตลิ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่งอกออกไป โดยลักษณะเป็นส่วนควบของที่ดินริมตลิ่ง และถือว่าเป็นที่ดินอยู่ในโฉนดของที่ดินริมตลิ่งด้วย
ข้อสัญญาจำนองซึ่งกล่าวว่า “สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแปลงนี้ไม่มีสิ่งใดยกเว้นจำนองด้วยทั้งสิ้น” นี้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 719 แปลความได้ว่าหมายถึงสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่มีอยู่บนที่ดินจำนอง ในขณะทำสัญญาจำนองเท่านั้น ดังนั้น ถ้าบ้านที่พิพาทนั้นน้ำท่วมถึง ก็ยังไม่มีสภาพเป็นที่งอกในขณะทำสัญญาจำนอง บ้านนั้นก็มิใช่เป็นสิ่งปลูกสร้างตามข้อสัญญาจำนอง
อนึ่ง ถ้าขณะทำสัญญาจำนองที่พิพาทได้งอกไปถึงบ้านหลังที่ 1 อันเป็นเหตุให้บ้านนั้นตกอยู่ในบังคับของสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าบ้านทั้ง 3 หลังนั้นปลูกติดต่อเป็นส่วนควบซึ่งกันและกัน หรืออาจแยกจากกันเป็นส่วนๆ ได้รูปบริบูรณ์ลำพังแต่ละหลังโดยไม่เป็นการทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือเปลี่ยนแปลงรูปทรง อาจเป็นเหตุให้สัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับต่างกัน
ย่อยาว
คดีนี้ เนื่องมาจากจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นบังคับคดี โจทก์จึงยึดทรัพย์สินที่จำนองเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์
ผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 ว่า “จำเลยรับผิดชำระหนี้ทั้งสองสำนวนนี้เพียงหนึ่งแสนเก้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดที่ 4555 และโฉนดที่ 2986 ที่โจทก์ฟ้องนี้ภายในสามเดือนนับแต่วันทำยอมนี้ ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองสองรายนี้เอาเงินชำระโจทก์ต่อไป” และความข้อ 2 ว่า “โจทก์ยอมความตามจำเลยในข้อ 1 ไม่ติดใจว่ากล่าวแก่จำเลยมากไปกว่านี้อีกฯลฯ” เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่นำเงินมาไถ่ถอนโจทก์จึงยึดทรัพย์จำนองรายนี้และนำยึดนอกเหนือไปอีกคือ ยึดที่ดินครอบครองของผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งผู้ร้องขัดทรัพย์แจ้งการครอบครองตาม ส.ค.1 แล้วและนำยึดบ้าน 3 หลังติดกัน ซึ่งมิใช่ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดที่จำนองขอให้ถอนการยึดที่ดินครอบครองและบ้าน 3 หลัง ดังกล่าวซึ่งหลังที่ 1 เพียงครึ่งหลังปลูกอยู่บนที่ดินครอบครอง อีกครึ่งหลังและหลังที่ 2-3 ปลูกอยู่ริมแม่น้ำท่าจีนนอกที่ดินครอบครอง
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์ซึ่งติดจำนองกับโจทก์ทั้งสิ้น โดยจำเลยได้นำชี้ คือ ที่ดินโฉนดที่ 4555 และ 1986 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ที่ดินที่ผู้ร้องอ้างว่าได้แจ้งการครอบครองตาม ส.ค.1 ซึ่งอยู่ติดกับโฉนดที่ 4555 นั้น เป็นที่ดินผืนเดียวกัน โดยงอกออกไปจากที่ดินโฉนดที่ 4555 ที่งอกริมตลิ่งย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินริมตลิ่ง ที่งอกโดยเป็นส่วนควบกับที่ดินเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 และติดจำนองไปด้วยอำนาจของกฎหมาย และหนี้จำนองที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับนายกรีด ฉิมม่วงด้วย เมื่อที่ดินที่งอกเป็นส่วนควบของทรัพย์จำนอง สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตกอยู่ในภารจำนองด้วย บ้าน 3 หลังปลูกขึ้นก่อนจำนอง สัญญาจำนองได้จดทะเบียนไว้ชัดแจ้งว่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่จำนองยอมจำนองด้วยโดยไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย ผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โดยเจตนาประวิงเวลาชำระหนี้จำนอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องนำสืบรับว่า ที่ดินซึ่งผู้ร้องอ้างว่าครอบครองมาเป็นที่งอกจากที่ดินโฉนดที่ 4555 ต้องฟังว่าที่ดินส่วนนี้เป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ตกอยู่ในภารจำนองด้วย หาใช่ของผู้ร้องไม่ ส่วนบ้าน 3 หลังนั้น หลังที่ 1 ปลูกอยู่บนที่งอกจากโฉนดที่ 4555 ก่อนจำนองก็ต้องว่าเป็นของจำเลยตกอยู่ในภารจำนองด้วยเฉพาะบ้านหลังที่ 2 และที่ 3 ตามแผนที่พิพาทปลูกนอกที่งอกจากโฉนดที่ 4555 เป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ พิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์เฉพาะที่ดินอันเป็นที่งอกจากโฉนดที่ 4555 และบ้านหลังที่ 1 เสีย ให้โจทก์ถอนการยึดบ้านหลังที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์นั้นด้วย
โจทก์และผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของนายกรีดผู้ร้องเพราะผู้ร้องขัดทรัพย์ทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์สินที่พิพาท เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ที่ 2 เป็นภริยาถูกฟ้องเป็นจำเลยและถูกยึดทรัพย์ นายกรีดสามีซึ่งเป็นเจ้าของร่วมย่อมไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 และให้คงยึดบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 ตามที่ยึดไว้ด้วย ให้ถอนการบังคับคดี เฉพาะที่ดินที่งอกประหน้าที่ดินโฉนดที่ 4556 ซึ่งอยู่ตอนตะวันออก โดยวัดจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือจากหลักหมายเลขที่ 56215 ของที่ดินโฉนดที่ 4556 ที่ติดต่อกับที่ดินโฉนดที่ 4555 ตรงลงไปทางแม่น้ำตามแนวของด้านตะวันตกของที่ดินโฉนดที่ 4556 นอกนั้นให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องขัดทรัพย์ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นพ้องด้วยศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า สัญญาจำนองครอบไปถึงที่พิพาทหน้าที่ดินโฉนดที่ 4555 ด้วยผลของกฎหมายตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1308 บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น” เป็นการที่กฎหมายให้เจ้าของที่ดินริมตลิ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่งอกออกไปโดยลักษณะเป็นส่วนควบของที่ดินริมตลิ่งและถือว่าเป็นที่ดินอยู่ในโฉนดที่ดินริมตลิ่งด้วยตามที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องได้พาโจทก์ดูเขตที่ดินที่จะจำนองนั้น ความจริงผู้ร้องเบิกความไว้แต่เพียงว่า ก่อนจำนองโจทก์ถามถึงอาณาเขตที่ดินตามโฉนดที่ 4555 ว่ามีเพียงแก่หลังบ้านหลังที่ 1 ใช่หรือไม่ และภายหลังจำนองโจทก์ก็มีความเข้าใจว่ามีอาณาเขตตามเดิมเท่านั้นหาถือได้ว่าเป็นข้อตกลงไม่ให้สัญญาจำนองครอบคลุมไปถึงที่พิพาทอย่างใดด้วยไม่ เมื่อสัญญาจำนองครอบถึงที่พิพาทแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความบังคับเอาที่พิพาทได้เช่นเดียวกัน
สำหรับบ้านพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าในขณะทำสัญญาจำนองที่พิพาทได้งอกออกไปถึงบ้านพิพาทจนเป็นที่เห็นได้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างบนที่งอกแล้ว บ้านพิพาทก็อยู่ในบังคับของสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย แต่ถ้าที่ปลูกบ้านนั้นน้ำท่วมถึง ยังไม่มีสภาพเป็นที่งอกในขณะที่ทำสัญญาจำนองบ้านนั้นก็มิใช่เป็นสิ่งปลูกสร้างตามข้อสัญญาจำนองซึ่งกล่าวว่า “สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแปลงนี้ไม่มีสิ่งใดยกเว้นจำนองด้วยทั้งสิ้น” เพราะสัญญาข้อนี้คงแปลความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 719 ได้เพียงว่าหมายถึงสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่มีอยู่บนที่ดินจำนองในขณะทำสัญญาจำนองเท่านั้น
นอกนี้ ถ้าในขณะทำสัญญาจำนอง ที่พิพาทได้งอกออกไปถึงบ้านหลังที่ 1 อันเป็นเหตุให้บ้านนั้นตกอยู่ในบังคับของสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ก็ยังมีข้อที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า บ้านทั้งสามหลังนั้นปลูกติดต่อเป็นส่วนควบซึ่งกันและกันหรืออาจแยกจากกันเป็นส่วน ๆ ได้โดยไม่ทำให้บุบสลายหรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงซึ่งจะเป็นเหตุให้สัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับต่างกัน
แต่คดีนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาเรื่องบ้านพิพาทยังฟังไม่ได้ทางใดทางหนึ่ง จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี