คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้ตามฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกหนี้เงินตามสัญญากู้เงินที่จำเลยที่1กู้ไปแล้วชำระคืนให้โจทก์ไม่ครบและขอให้ศาลบังคับจำเลยที่1ชำระเงินส่วนที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยจำเลยที่1ให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และได้ชำระเงินที่กู้ให้โจทก์บางส่วนแล้วแต่ปฏิเสธที่จะชำระในส่วนที่ค้างชำระโดยอ้างเหตุว่าถูกโจทก์และบริษัทด.หลอกลวงให้หลงเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวเสนอขายที่ดินสวนเกษตรจะปลูกต้นมะขามหวานโดยแบ่งเป็นแปลงละ2ไร่พร้อมกับจัดให้มีสาธารณูปโภคจำเลยที่1จึงได้ตกลงทำสัญญาจองและจะซื้อจะขายที่ดินกับบริษัทดังกล่าวต่อมาบริษัทดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามโครงการที่เสนอขายอันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาคดีจึงมีประเด็นเพียงว่าจำเลยที่1ต้องชำระเงินกู้ในส่วนที่ยังชำระไม่ครบคืนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่การที่จำเลยที่1ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างบริษัทด. กับจำเลยที่1โดยอ้างเหตุว่าบริษัทดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามโครงการจัดขายที่ดินสวนเกษตรจึงเป็นข้อเท็จจริงและหลักฐานที่จะนำสืบคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตามสัญญากู้เงินและจำนองฟ้องแย้งของจำเลยที่1ในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัทด.และว.จึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 1,170,000 บาท จะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 เมษายน 2543 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 และในวันทำสัญญากู้ยืมเงินเองจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของโฉนดเลขที่ 3045 และ3232 เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 หลังจากจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปแล้วยังคงค้างชำระเงินต้นกับดอกเบี้ย โจทก์บอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,601,464.09 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากเงินต้น1,149,210.64 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า คำขอกู้เงิน สัญญากู้ยืมเงินใบรับเงินกู้สัญญาจำนองที่ดินและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นโมฆะ เนื่องจากโจทก์สมคบกับบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัดหลอกลวงด้วยการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์เสนอขายที่ดินสวนเกษตรมะขามหวาน โดยแบ่งเป็นแปลงละ 2 ไร่ มีสาธารณูปโภคพร้อมจำเลยที่ 1 หลงเชื่อว่าเป็นจริงตามที่โฆษณาจึงทำสัญญาจองและจะซื้อจะขายที่ดิน 1 แปลงพร้อมกับทำสัญญาจ้างเหมาปรับปรุงที่ดินด้วย วันเดียวกันนั้นเอง โจทก์กับบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์จำกัด นำคำขอกู้เงิน สัญญากู้ยืมเงิน หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดินที่ยังไม่ได้พิมพ์ข้อความมาให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อและให้ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองจำนวน 11,700 บาท หลังจากนั้นโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่า โจทก์อนุมัติวงเงินกู้และรับจำนองที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้แล้ว จำเลยที่ 1 จึงผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ไปทั้งสิ้น 215,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ทราบความจริงว่า บริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัด ไม่ได้ทำโครงการตามที่เสนอขาย เพียงแต่ให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนในที่ดินกับนายวัฒนา มูลประหัส เท่านั้น ถ้าหากจำเลยที่ 1รู้ความจริงเช่นนี้จะไม่ทำนิติกรรมดังกล่าว การกระทำของโจทก์กับบริษัทดังกล่าวทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนนิติกรรมใบจองซื้อที่ดิน หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมจ้างเหมาปรับปรุงที่ดิน ระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัด บันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วน ของโฉนดที่ดินเลขที่ 3045 และ 3232 และหนังสือมอบอำนาจรับโอนระหว่างนายวัฒนา มูลประหัส กับจำเลยที่ 1สัญญากู้ยืมเงินสัญญาจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 3045 และ 3232 พร้อมใบมอบอำนาจต่าง ๆ ฉบับลงวันที่10 เมษายน 2533 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 กับให้โจทก์บริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัด และนายวัฒนา มูลประหัสร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินจำนวน 246,700 บาท แก่จำเลยที่ 1พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและให้ยกคำร้อง ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งที่ขอให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินสัญญาจำนองที่ดินเฉพาะส่วน ใบมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2533 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 กับที่ขอให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 215,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่าจำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก คดีนี้มูลหนี้ตามฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกหนี้เงินตามสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 1 กู้ไปแล้วชำระคืนให้โจทก์ไม่ครบ และขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินส่วนที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยจำเลยให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และได้ชำระเงินที่กู้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะชำระในส่วนที่ค้างชำระโดยอ้างเหตุว่าถูกโจทก์และบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัดหลอกลวงให้หลงเชื่อว่า บริษัทดังกล่าวเสนอขายที่ดินสวนเกษตรปลูกต้นมะขามหวาน โดยแบ่งเป็นแปลงละ 2 ไร่ พร้อมกับจัดให้มีสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 จึงได้ตกลงทำสัญญาจองและจะซื้อจะขายที่ดินกับบริษัทดังกล่าวโดยมีนายวัฒนา จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการต่อมาหลังจากทำสัญญากับบริษัทดังกล่าวแล้วได้ทราบความจริงว่าบริษัทดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามโครงการที่เสนอขายอันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาและทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเงินตามสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระให้โจทก์ไปแล้วคืนพร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายคดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินกู้ในส่วนที่ยังชำระไม่ครบคืนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัด กับจำเลยที่ 1โดยอ้างเหตุว่า บริษัทดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามโครงการจัดขายที่ดินสวนเกษตรจึงเป็นข้อเท็จจริงและหลักฐานที่จะนำสืบคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตามสัญญากู้เงินและจำนองทั้งคำให้การของจำเลยที่ 1 ก็กล่าวไว้ชัดว่าโจทก์เป็นผู้สนับสนุนโครงการของบริษัทดังกล่าวเท่านั้นหาได้เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้เงินและจำนองที่โจทก์อ้างถึงความผูกพันอันจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดไม่หากจำเลยที่ 1 เห็นว่าบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัดและนายวัฒนาปฏิบัติผิดสัญญาที่จำเลยที่ 1 ทำไว้อย่างไรก็ชอบที่จำเลยที่ 1 จะนำคดีไปฟ้องร้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากได้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัด และนายวัฒนาจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัทเดอะสวีททามารีนปาร์ค จำกัด และนายวัฒนาไว้พิจารณานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share