แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในห้องเกิดเหตุมีจำเลยอยู่กับผู้ตายเพียง 2 คนและก่อนที่ผู้ตายจะถูกกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะจนถึงแก่ความตายนั้น จำเลยกับผู้ตายมีเรื่องทะเลาะกันเนื่องจากผู้ตายไปติดพันผู้หญิงคนใหม่ ทำให้จำเลยกลุ้มใจและหึงหวงผู้ตาย หลังจากผู้ตายถูกกระสุนปืนแล้วจำเลยพยายามฆ่าตัวตายและให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน ในเวลาต่อมาว่า จำเลยคิดจะฆ่าตัวตายพร้อมกับผู้ตาย จึงใช้อาวุธปืนยิงที่ศีรษะผู้ตายในขณะที่ผู้ตายนอนหลับ อยู่บนเตียง ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น เหตุการณ์ แต่พยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวมีความชัดเจนรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 72 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น จำเลยรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริงแต่ไม่มีเจตนาฆ่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปีและมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 72 วรรคสาม จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 15 ปี 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยอยู่กินกับผู้ตายฉันสามีภริยาที่ห้องพักอาคารเพิ่มสินคอนโดทาวน์ตามลำพังเพียง 2 คน และในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องภายในห้องพักของคนทั้งสอง ผู้ตายถูกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 เข้าที่ศีรษะ 1 นัด ถึงแก่ความตายมีบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้องคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้เหตุเกิดภายในห้องพักของจำเลยและผู้ตายซึ่งอาศัยอยู่กันเพียง 2 คน จึงไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมกรณีคือนางน้อมวจี บัวย้อย ซึ่งพักอาศัยอยู่ห้องติดกับห้องเกิดเหตุเป็นพยานเบิกความว่า เคยได้ยินจำเลยและผู้ตายทะเลาะกัน โดยจำเลยหึงหวงผู้ตายเรื่องชู้สาวนายยนธะกิจ กันทะนนท์ เพื่อนผู้ตายก็เบิกความทำนองเดียวกันว่าผู้ตายมีโครงการจะแต่งงานกับคนรักใหม่ และในระยะหลังผู้ตายจะนอนค้างที่ทำงานไม่กลับไปนอนกับจำเลยเพราะกลัวถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิง จำเลยเองก็เบิกความยอมรับในเรื่องนี้ว่าผู้ตายไปติดพันผู้หญิงคนใหม่ทำให้จำเลยกลุ้มใจ และในคืนวันเกิดเหตุจำเลยไปตามผู้ตายถึงที่ทำงาน ครั้นกลับมาถึงห้องพักที่เกิดเหตุคนทั้งสองมีปากเสียงกันอีก ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าขณะนั้นจำเลยหึงหวงผู้ตายและจิตใจไม่ปกติแต่ที่จำเลยอ้างว่าผู้ตายใช้อาวุธปืนขู่จะยิงจำเลย จำเลยจึงแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายเป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นถูกศีรษะผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้น เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การด้วยความเต็มใจว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงเข้าที่ขมับซ้ายของผู้ตายขณะที่ผู้ตายนอนหลับอยู่บนเตียง และขัดกับคำให้การชั้นพิจารณาของศาลซึ่งจำเลยยอมรับว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกภักดี ศุภวิริยะกุลได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วเบิกความว่า ห้องที่เกิดเหตุมีสภาพปกติ ศพผู้ตายนอนหงายอยู่บนเตียงศีรษะพาดอยู่บนหมอนที่ขมับซ้ายของผู้ตายมีรอยกระสุนปืนเข้าทะลุออกขวาซึ่งตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ข้ออ้างของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าคำให้การของจำเลยชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเลอะเลือนคลาดเคลื่อนต่อความจริงเพราะขณะให้การฤทธิ์ยานอนหลับและยาฆ่าแมลงที่จำเลยรับประทานเข้าไปยังไม่หมดนั้นได้ความจากนางรุ่งทิพย์ วรรณวิมลสุขแพทย์ประจำโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และใบนำส่งผู้บาดเจ็บหรือศพให้แพทย์ตรวจชันสูตรว่า โรงพยาบาลรับตัวจำเลยไว้รักษาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2539 เวลาประมาณ 10.30 นาฬิกาจำเลยมีอาการง่วงซึม สามารถตอบคำถามและทำตามคำสั่งได้บ้างเมื่อแพทย์ล้างท้องให้แล้วสามารถกลับบ้านได้ แสดงว่าอาการของจำเลยไม่ร้ายแรง ทั้งข้อความในคำให้การชั้นสอบสวนก็ได้ใจความสมบูรณ์ดีไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยให้การเลอะเลือนหรือสติไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในห้องเกิดเหตุมีจำเลยอยู่กับผู้ตายเพียง 2 คน และก่อนที่ผู้ตายจะถูกกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะจนถึงแก่ความตายนั้นจำเลยกับผู้ตายมีเรื่องทะเลาะกันเนื่องจากผู้ตายไปติดพันผู้หญิงคนใหม่ ทำให้จำเลยกลุ้มใจและหึงหวงผู้ตาย หลังจากผู้ตายถูกกระสุนปืนแล้ว จำเลยพยายามฆ่าตัวตายและให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาว่า จำเลยคิดจะตายพร้อมกับผู้ตายจึงใช้อาวุธปืนยิงที่ศีรษะผู้ตายในขณะที่ผู้ตายนอนหลับอยู่บนเตียง ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์แต่พยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวมีความชัดเจนรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริงจำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจตรีสุพัฒน์ ลิ้มอิ่มพนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานว่า พบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางในห้องเกิดเหตุ โดยจำเลยให้การรับว่า อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวจำเลยขอยืมมาจากนางจันทร์ไม่ทราบนามสกุล คำให้การของจำเลยฉบับนี้จำเลยเบิกความตอบโจทก์ว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้บังคับขู่เข็ญ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจตามความสัตย์จริงคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนจึงใช้ยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้เมื่อฟังประกอบกับคำเบิกความของนายยนธะกิจที่เบิกความว่าผู้ตายเคยเล่าให้พยานฟังว่า จำเลยเคยใช้อาวุธปืนจะยิงผู้ตายมาแล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจริงที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน