แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาล เนื้อที่ 4.4 ตารางวา ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำดังกล่าว เป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว โจทก์ไม่ต้องแสดงโฉนดหรือหลักฐานแห่งที่ดินว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างไรเพราะการเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ เป็นไปตามสภาพของที่ดินและโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในฟ้องว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ทั้งหมดมีเนื้อที่เท่าใด จำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแต่เมื่อใด มีเขตกว้างยาวเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดที่คู่ความอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ลำรางซึ่งมีมานาน เดิมมีสภาพเป็นคลองระบายน้ำจากภูเขาลงสู่คลองซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล ไม่มีเอกชนผู้ใดขุดขึ้นใช้ประโยชน์ส่วนตัว เป็นลำรางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาจะตื้นเขินขึ้นตามธรรมชาติหรือมีผู้ถมดินรุกล้ำเข้ามาไม่มีสภาพเป็นทางระบายน้ำต่อไป และไม่มีราษฎรใช้ประโยชน์ก็ตาม เมื่อทางราชการยังมิได้พระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 8ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินนั้นก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม ที่งอกริมตลิ่ง หมายถึงที่ดินที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากที่สายน้ำพัดพาที่ดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเกิดที่งอกขึ้น มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง เทศบาลโจทก์มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตเทศบาลตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาลได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ภายในเขตเทศบาลเมืองภูเก็ต จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารเลขที่ 54/8 ถนนสุทัศน์ รุกล้ำที่ดินลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เนื้อที่ 4.4 ตารางวา จำเลยไม่ยอมทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ โจทก์ได้ให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินภายในกำหนด 30 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำลำรางสาธารณะเนื้อที่ 4.4 ตารางวา กับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนอาคาร ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า ลำรางสาธารณะที่จำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเป็นคลองน้ำที่เอกชนมีไว้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว โจทก์ไม่มีหน้าที่ดูแลรักษาจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยปลูกสร้างอาคารเลขที่ 54/8บนที่ดินโฉนดเลขที่ 7362 ไม่ได้รุกล้ำที่สาธารณะ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอาคาร ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ปัจจุบันลำรางสาธารณะไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว เพราะมีการเลิกใช้เพื่อสาธารณประโยชน์แล้ว อีกทั้งที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่ง จำเลยจึงเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารเลขที่ 54/8 ถนนสุทัศน์ ตำบลรัษฎา (ตลาดใหญ่) อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนที่รุกล้ำลำรางสาธารณะ เนื้อที่ 4.4 ตารางวา กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว ถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ว่าถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำ โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาข้อแรกของจำเลยมีว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาลตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารเลขที่ 54/8 รุกล้ำเข้าไปในลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาล เนื้อที่4.4 ตารางวา ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำดังกล่าว เป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว โจทก์ไม่ต้องแสดงโฉนดหรือหลักฐานแห่งที่ดินว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างไร เพราะการเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ เป็นไปตามสภาพของที่ดิน และโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในฟ้องว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ทั้งหมดมีเนื้อที่เท่าใด จำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแต่เมื่อใด มีเขตกว้างยาวเท่าใดเพราะเป็นรายละเอียดที่คู่ความอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อสองว่า ลำรางที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ลำรางสาธารณะแต่เป็นที่งอกติดต่อกับที่ดินมีโฉนดของจำเลย ซึ่งผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ก่อนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลย
พิเคราะห์แล้ว ตามข้อนำสืบของโจทก์จำเลยฟังได้ว่าลำรางตามฟ้องโจทก์ เดิมมีสภาพเป็นคลองระบายน้ำจากภูเขาลงสู่คลองบางใหญ่ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล ไม่ปรากฎว่าเอกชนผู้ใดขุดขึ้นใช้ประโยชน์ส่วนตัวดังคำให้การของจำเลย จึงน่าเชื่อว่า ลำรางตามฟ้องโจทก์เป็นลำรางสาธารณประโยชน์สำหรับระบายน้ำจากภูเขาซึ่งมีมานานแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาจะตื้นเขิน ขึ้นตามธรรมชาติ หรือมีผู้ถมดินรุกล้ำเข้ามาไม่มีสภาพเป็นทางระบายน้ำต่อไป และไม่มีราษฎรใช้ประโยชน์ก็ตาม เมื่อทางราชการยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 8ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินนั้นยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม ที่จำเลยอ้างว่าหลังจากมีการตัดถนนผ่านคลองได้เกิดที่งอกเต็มคลองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่งอกริมตลิ่งหมายถึงที่ดินที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากที่สายน้ำพัดพาดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเกิดที่งอกขึ้น มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง จำเลยเบิกความว่า หลังจากมีการสร้างถนนสุทัศน์แล้วคลองดังกล่าวมีสภาพเป็นคลองตันน้ำในคลองย่อมจะไม่มีการไหลหมุนเวียนจึงไม่น่าจะเกิดเป็นที่งอกริมตลิ่งได้จำเลยเองก็ตอบโจทก์ถามค้านว่า ไม่ทราบว่าที่พิพาทตื้นเขินจากพื้นของคลองหรือตื้นเขิน จากด้านข้างของคลอง ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งที่จำเลยสามารถมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ ทางพิจารณาได้ความว่า ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตได้ฟ้องจำเลย ข้อหาปลูกสร้างอาคารรุกล้ำลำรางสาธารณะและปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ และพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารฯ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดไปแล้ว ประกอบกับคดีนี้โจทก์มีภาพถ่ายแผนที่ระวางเอกสารหมาย จ.5 แสดงลักษณะของลำรางสาธารณะในเขตเทศบาลมีสภาพคดเคี้ยว บางตอนหักเป็นมุมฉาก แผนที่รูปที่ดินตามโฉนดของจำเลยเอกสารหมาย จ.8 ด้านทิศใต้ที่ระบุว่าติดคลองมีเขตที่ดินในลักษณะหักเป็นมุมฉาก ตรงกับลักษณะลำรางในแผนที่ระวางเอกสารหมาย จ.8ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.7 ซึ่งนายเกรียงศักดิ์ พงษานุกูลเวชนายช่างรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้ทำขึ้นตามที่พนักงานของโจทก์นำชี้ก็ปรากฏรูปคลองตามเส้นสีแดงมีลักษณะหักเป็นมุมฉาก จำเลยปลูกอาคารล้ำมุมฉากเลยเข้าในลำคลองตามพื้นที่ที่ระบายด้วยสีแดงเนื้อที่ 4.4 ตารางวา แม้จำเลยจะไม่ยอมลงชื่อรับรองแผนที่ดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบคำรับสารภาพในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้อง ข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่า จำเลยได้ปลูกอาคารรุกล้ำเข้ามาในลำรางสาธารณะที่ตื้นเขิน กลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เนื้อที่ 4.4 ตารางวา ดังที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตเทศบาลตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวจำเลยล่วงหน้า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว”
พิพากษายืน