คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2382/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โดยตกลงกันว่าให้จำเลยประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อ และระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยนั้น ถือว่าเป็นการตกลงกันเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก เมื่อรถยนต์ คันดังกล่าวได้สูญหายไป สิทธิของโจทก์ที่จะรับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยจะเกิดขึ้นต่อเมื่อโจทก์แสดงเจตนาแก่จำเลยร่วมว่าจะถือเอาประโยชน์สัญญานั้น และเนื่องจากไม่มีข้อตกลงให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิ เรียกร้องแก่จำเลยร่วมให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเสียก่อน การที่จำเลยแจ้งว่ารถยนต์คันที่เช่าซื้อได้สูญหายไปให้ โจทก์ทราบ และโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยร่วม โจทก์ก็ยังมีอำนาจเรียกร้องต่อจำเลยโดยตรงได้แม้จะเป็น ภายหลังจากที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีแก่จำเลยร่วมขาดอายุความไปแล้ว ก็หาใช่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอย่างใดไม่ เมื่อรถยนต์คันที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยจำเลยยังไม่ได้ชำระราคาค่าเช่าซื้อแก่โจทก์แม้แต่งวดเดียว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระราคารถยนต์แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นเงิน ๕๘๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน ๓๓๖,๐๐๐ บาท กับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน ๑๗,๓๔๙.๙๐ บาท และค่าติดตามสืบหาทรัพย์สินเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๕๓,๓๔๙.๙๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าเสียหาย ต่อไปอีกเดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคา
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่า ถ้าหากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แพ้คดี จำเลยที่ ๑ อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องกับความรับผิดของจำเลยร่วมเป็นคนละส่วนกัน และจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดเนื่องจากคดีขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๕๓๘,๓๑๘ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วม
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ เริ่มชำระครั้งแรกวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๕ และชำระงวดต่อไปทุกวันที่ ๑ ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวประเภทหนึ่งไว้กับจำเลยร่วมวงเงิน ความรับผิดในกรณีรถยนต์สูญหายเนื่องจากการลักทรัพย์ ๕๘๐,๐๐๐ บาท มีโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ รถยนต์ได้สูญหายไป จำเลยที่ ๑ แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อในวันเดียวกันและ แจ้งความเพิ่มเติมอีกครั้งในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรก โจทก์มีหนังสือ ทวงถามจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ โดยระบุว่าหากจำเลยที่ ๑ ยังเพิกเฉยก็ขอบอกเลิกสัญญา หลังจากรถยนต์สูญหายแล้ว โจทก์และจำเลยที่ ๑ มิได้เรียกร้องให้จำเลยร่วมชำระค่าสินไหมทดแทน จนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยร่วมขาดอายุความ คดีมีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้ต่อการสูญหาย บุบสลายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อทรัพย์ที่เช่าซื้อ สูญหายไป โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญารับผิดชอบได้โดยตรงภายในอายุความ ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยและโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยร่วม โดยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์นั้น เป็นการตกลงกันเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกคือโจทก์ ให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการสูญหายของรถยนต์ ที่จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อจากจำเลยร่วม สิทธิของโจทก์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโจทก์แสดงเจตนาแก่จำเลยร่วมว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น ทั้งไม่มีข้อตกลงให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เสียก่อนด้วย การที่จำเลยที่ ๑ แจ้งเรื่องรถยนต์สูญหายให้โจทก์ทราบ และโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยร่วม แต่ได้เรียกร้องต่อจำเลยที่ ๑ โดยตรงแม้จะเป็นเวลาภายหลังจากที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยร่วมขาดอายุความ ไปแล้ว ก็หาใช่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่ เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยที่จำเลยที่ ๑ ยังมิได้ชำระ ค่าเช่าซื้อแก่โจทก์แม้แต่งวดเดียว จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยจากจำเลยร่วมตามครรลองที่ควรปฏิบัติ จนกระทั่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ขาดอายุความทั้งที่โจทก์เป็นผู้กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อกำหนดให้จำเลยที่ ๑ ชำระเบี้ยประกันภัย โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ แม้การกระทำของโจทก์ไม่อาจถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แต่ก็เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดี
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ .

Share