แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลำห้วยซึ่งตื้นเขินใช้เป็นทางสัญจรไม่ได้ ไม่ถือว่าเป็นทางสาธารณะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิช มาตรา 1349
โจทก์จำเลยรับกันว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้นอกจากทางเหนือที่ดินโจทก์ที่จดลำห้วย ซึ่งปัจจุบันนี้ตื้นเขินใช้เป็นทางสัญจรไม่ได้แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ เพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดิน ๑ แปลง ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่โดยรอบจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดคือทางทิศใต้ติดกับที่ดินจำเลย โจทก์ใช้เป็นทางเดินและใช้รถยนต์บรรทุกสินค้าผ่านที่ดินจำเลยออกไปสู่ทางสาธารณะมาเป็นเวลา ๖ ปีเศษ จำเลยได้ไถทางเดินดังกล่าวและปักเสากั้นปิดทางเดินที่โจทก์ใช้สัญจรเข้าออก ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางดังกล่าวและให้จำเลยรับเงินค่าทดแทน ๓๓๐ บาท และให้จดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานอำเภอท่าม่วงให้โจทก์ใช้ทางตามแผนที่ท้ายฟ้องเส้นสีแดงด้วย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องไม่เคยเป็นทางเดินหรือทางจำเป็นดังโจทก์ฟ้อง โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินของโจทก์มา ๑๐ กว่าปีแล้ว ใช้ทางเดินไปสู่ทางสาธารณะด้านทิศเหนือโดยผ่านที่ดินนายเนตรตลอดมา ขณะนั้นที่ดินที่โจทก์ว่าเป็นทางจำเป็นยังรกเดินไม่ได้ ต่อมาทางราชการตัดถนนสาธารณะใหม่ติดที่ดินจำเลย โจทก์ต้องการออกสู่ทางสาธารณะที่ตัดใหม่ โจทก์ในฐานะเป็นน้องสามีจำเลยโดยอัธยาศัยจึงเดินลัดออกทางถนนตัดใหม่ จำเลยไถที่และล้อมรั้วในแนวเขตที่ดินจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต หากจะพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิผ่านได้ก็ต้องชดใช้ค่าทดแทนให้จำเลยจนเป็นที่พอใจ
ก่อนสืบพยานศาลสั่งเจ้าพนักงานศาลไปทำแผนที่ศาล วันนัดตรวจดูแผนที่พิพาทคู่ความรับกันว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเว้นแต่ทางด้านทิเศเหนือซึ่งจดลำห้วยนาคราช ทางออกสู่ทางสาธารณะนอกจากออกทางลำห้วยนาคราชแล้ว ทางออกที่ใกล้ที่สุดคือทางภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท คู่ความรับกันอีกว่า เดิมลำห้วยนาคราชเป็นลำแม่น้ำ แต่ขณะนี้ตื้นเขินสิ้นสภาพจากเป็นแม่น้ำแล้ว ไม่มีผู้ใดใช้เป็นทางสัญจรไปมาหากโจทก์ใช้ที่พิพาทออกสู่ทางสาธารณะ ค่าทดแทนที่โจทก์จะพึงชดใช้ให้จำเลยเป็นเงิน จำนวน ๒,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน และพิพากษาว่าที่ดินของจำเลยภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท เป็นทางจำเป็นให้จำเลยเปิดให้โจทก์ผ่านจากที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะ และให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่โจทก์ หากไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ทั้งนี้เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าทดแทนจำนวน ๒,๐๐๐ บาท แก่จำเลยแล้ว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการทำแผนที่พิพาท จำเลยชี้ว่าแนวทางเดิมที่โจทก์อาศัยออกสู่ทางสาธารณะ คือ แนวตามเส้นประสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ ซึ่งบัดนี้ไม่เป็นทางเดิน จำเลยหาได้ชี้ทางไปสูทางสาธารณะด้านทิเศเหนือโดยผ่นที่ดินนายเนตรดังที่ให้การต่อสู้ไว้ไม่ วันนัดตรวจดูแผนที่พิพาท ศาลสอบถามคู่ความ จำเลยก็มิได้แถลงว่าโจทก์มีทางไปสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของนายเนตรอีก ถือได้ว่าข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นประเด็นในคดีอีกแล้ว และคู่ความก็รับกันแล้วว่าที่ดินโจทก์อยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ สำหรับด้านเหนือที่ดินโจทก์แม้จะจดลำห้วยนาคราช แต่ปัจจุบัน ตื้นเขินใช้เป็นทางสัญจรไม่ได้ ถือไม่ได้ว่าลำห้วยดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ โจทก์มีความจำเป็นจะต้องผ่านตรงที่พิพาทออกสู่ทางสาธารณะไม่จำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น