แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันมาก่อนเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาของโจทก์จำเลย เมื่อบิดาถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยได้รับโอนมรดกเป็นเจ้าของร่วมกัน คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนั้นแล้ว จำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจำเลยจะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 จำเลยก็จะอ้างระยะเวลาหนึ่งปีมาเป็นข้อตัดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ของโจทก์หาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของรวมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทะเบียนเล่มที่ 1 หน้า 197หมู่ที่ 3 ตำบลยางซ้าย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย กับจำเลยและผู้อื่นอีกรวม 6 คน เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. 2527 โจทก์ที่ 1และที่ 2 มีความประสงค์ที่จะแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ออกจากเจ้าของรวม โจทก์ได้บอกกล่าวให้เจ้าของรวมคนอื่น ๆ ไปทำการแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ตามส่วน ปรากฏว่าจำเลยผู้เดียวไม่ยินยอมการกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปทำการแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ดังกล่าว แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามส่วน หากจำเลยไม่ไปทำการแบ่งแยกที่ดินแก่โจทก์ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยถ้าไม่อาจแบ่งแยกได้ก็ขอให้เอาที่ดินแปลงดังกล่าวออกประมูลราคากันในระหว่างเจ้าของรวม หรือขายทอดตลาดแล้วจ่ายเงินที่ขายได้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ตามส่วน
จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลยผู้เดียว จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงนั้นมาจากนายเจือ ทองคำชู เมื่อปี พ.ศ. 2508หลังจากนั้นจำเลยก็ได้เข้าครอบครองทำกินตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้จำเลยเพียงแต่ใส่ชื่อนายผาดไว้แทนจำเลยเท่านั้นเมื่อวันที่ 24พฤษภาคม 2520 จำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองกับพวกให้เพิกถอนชื่อโจทก์กับพวกออกจากทะเบียน น.ส.3 ฉบับดังกล่าว ดังปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 61/2520 ของศาลจังหวัดสุโขทัย โจทก์กับพวกไม่ได้ฟ้องแย้งให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์กับพวกแต่ประการใดซึ่งจากวันดังกล่าวจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2525โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสุโขทัยเรียกจำเลยและพนักงานที่ดินอำเภอเมืองสุโขทัยมาสอบถามเรื่องจำเลยไม่แบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ ศาลได้นัดพร้อมในวันที่ 11 มิถุนายน 2525 และมีคำสั่งในวันนัดว่าโจทก์กับพวกไม่ได้ที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาของศาลในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 61/2520 หมายเลขแดงที่ 26/2521แต่อย่างใด จึงยกคำร้องของโจทก์เสีย ซึ่งนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วเช่นกัน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยไปจัดการแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามส่วน หากจำเลยไม่ไปจัดการแบ่งแยกที่ดินให้ ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและหากไม่สามารถแบ่งแยกได้ก็ให้เอาที่ดินออกประมูลกันในระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาด แล้วจ่ายเงินที่ขายให้แก่โจทก์ที่ 1และที่ 2 ตามส่วน ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์1,000 บาท แทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ปัญหาวินิจฉัยมีว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยและมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่คดีนี้โจทก์จำเลยเคยพิพาทฟ้องร้องกันมาก่อนและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทนี้เดิมเป็นของนายผาดและนางกุหลาบบิดามารดาของโจทก์จำเลย เมื่อนายผาดถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์และจำเลยได้รับโอนมรดกเป็นเจ้าของร่วมกัน จำเลยเป็นผู้มีบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทแต่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมก็เข้าเก็บผลไม้และตัดไม้ไผ่อันเป็นการครอบครองร่วมกันตลอดมา คำพิพากษานี้จึงผูกพันโจทก์จำเลยอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่โจทก์ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2525 ว่าจำเลยไม่แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยมาสอบถาม วันที่11 มิถุนายน 2525 ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดสอบถามนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แถลงข้อเท็จจริงต่อศาลแต่ประการใดและข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ปรากฏว่า หลังจากศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้ว จำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจำเลยจะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ฉะนั้น จำเลยจะอ้างระยะเวลาหนึ่งปีมาเป็นข้อตัดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ของโจทก์หาได้ไม่และจำเลยจะยกขึ้นโต้เถียงในชั้นนี้อีกว่าความจริงที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว จำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาย่อมเป็นการเถียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผูกพันจำเลยอยู่ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมด้วยตลอดมา โจทก์จึงมีสิทธิและอำนาจที่จะฟ้องให้จำเลยแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมเมื่อใดก็ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.