คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจาร แม้กระทำต่อผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะ จึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน
ภายหลังกระทำความผิด ได้มี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 โดยไม่ได้บัญญัติให้การกระทำความผิดฐานค้าหญิงโดยหญิงนั้นยินยอมตามที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามมาตรา 5, 7 วรรคหนึ่งและวรรคสองเป็นความผิดอีกต่อไป จำเลยที่ 1 จึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดฐานนี้ตาม ป.อ. มาตรา 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 282, 283 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 และนับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1512/2544 และคดีหมายเลขดำที่ 1853/2546 ของศาลจังหวัดสงขลา
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคสองพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสี่ จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคสอง และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสามเว้นแต่จำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่ละกรรมเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กระทงแรกลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก จำคุกกระทงละ 15 ปี กระทงหลังลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ 6 ปี รวมโทษทุกกระทงเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 21 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 15 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 15 ปี 9 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 ปี 27 เดือน ข้อหาอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นยินยอมเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กระทงเดียว จำคุกคนละ 6 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม จำเลยที่ 2 คงจำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดต่อผู้เสียหายหลายคนทั้งคำให้การชั้นสอบสวนไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาจึงไม่ลดโทษให้และให้ปรับบทลงโทษว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง ด้วย ยกฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นโดยใช้อุบายหลอกลวงและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนที่ลดโทษให้จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทัณฑสถานหญิงชลบุรีมีหนังสือแจ้งต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2554 ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วโจทก์ไม่คัดค้าน ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตายจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่นางสาวพิมพาอ้างว่าเดินทางไปประเทศมาเลเซียเพราะจำเลยที่ 1 และนางสาวกฤษณาชักชวนให้ไปค้าขายเสื้อผ้านั้น ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าจะไปค้าขายกันอย่างไร ทั้งไม่มีการเตรียมการการเดินทางไปประกอบอาชีพเป็นกิจจะลักษณะ แต่นางสาวพิมพากลับตกลงใจเดินทางไปกับนางสาวกฤษณาในค่ำวันที่ 7 ธันวาคม 2546 ทันทีที่ได้รับการติดต่อจากนางสาวกฤษณา ในลักษณะปกปิดไม่บอกให้สามีและย่าที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันทราบ และเมื่อไปถึงประเทศมาเลเซียโทรศัพท์มาหานางปลาพี่สามีก็ยังปกปิดเรื่องการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย ผิดปกติวิสัยที่ไปทำมาค้าขายตามปกติ ที่นางสาวพิมพาอ้างว่าเดินทางไปประเทศมาเลเซียเพราะต้องการไปค้าขายเสื้อผ้าจึงมีน้ำหนักน้อย นางสาวพิมพา นางสาวกฤษณา และนางสาวเอ๋คุ้นเคยและพักอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ทั้งสามเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 ซึ่งย่าและมารดานางสาวพิมพายังเข้าใจว่านางสาวพิมพาถูกพาไปค้าประเวณี จึงไม่น่าเชื่อว่านางสาวพิมพาจะไม่ทราบว่านางสาวกฤษณาและนางสาวเอ๋ต้องการเดินทางไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย การที่นางสาวพิมพาโทรศัพท์มาแจ้งให้ญาติที่ประเทศไทยช่วยเหลืออ้างว่าถูกหลอกลวงมาและถูกบังคับให้ค้าประเวณีนั้น ก็มีลักษณะเดียวกับที่นางสาวกฤษณาและนางสาวเอ๋โทรศัพท์ติดต่อมาให้ช่วยเหลือเพราะทนสภาพการค้าประเวณีไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่แต่แรกตั้งใจจะไปค้าประเวณี คำยืนยันของนางสาวพิมพาที่อ้างว่าตนถูกหลอกลวงไปค้าประเวณีจึงไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้อุบายหลอกลวงนางสาวพิมพาไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย และแม้จำเลยที่ 1 พานางสาวพิมพาและนางสาวเอ๋ไปในครั้งคราวเดียวกันแต่ก็เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะ จึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่ออนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคหนึ่งและวรรคสองรวม 2 กรรม ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน และสมควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อนึ่ง ภายหลังจำเลยที่ 1 กระทำความผิดแล้ว ได้มีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 โดยไม่ได้บัญญัติให้การกระทำความผิดฐานค้าหญิงโดยหญิงนั้นยินยอมตามที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคหนึ่งและวรรคสองเป็นความผิดอีกต่อไป จำเลยที่ 1 จึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดฐานนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิด 2 กรรม ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กระทงละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี 12 เดือน และจำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share