แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1402 สิทธิอาศัยใช้ได้แต่เรื่องอาศัยโรงเรือนเท่านั้น การที่โจทก์ยอมให้จำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์ โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าจึงไม่ใช่เรื่องอาศัย แต่เป็นการได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้อื่นโดยได้รับอนุญาต ฉะนั้น จะนำเรื่องการบอกเลิกล่วงหน้าแก่ผู้อาศัยตามมาตรา 1403 วรรค 2 มาใช้แก่กรณีที่ดินหาได้ไม่
ตามฟ้องโจทก์มีใจความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยแสดงอาการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยอ้างว่าที่รายนี้เป็นของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขอให้ขับไล่จำเลย เมื่อเกิดพิพาทกันขึ้นแล้วว่าที่ดินเป็นของฝ่ายใดเช่นนี้ แม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ด้วยว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยโจทก์ให้อาศัย ก็ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบอกเลิกล่วงหน้าแก่จำเลยว่าโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ไร่แปลงหนึ่งเป็นของโจทก์ เมื่อราว ๑๘ ปีมานี้ นายวีได้ขออาศัยปลูกเรือนในที่รายนี้ จำเลยเป็นบุตรบุญธรรมของนายวี ได้อยู่ร่วมเรือนกับนายวีด้วย ต่อมานายวีตาย แล้วจำเลยก็อยู่ในที่นี้ต่อมาในฐานะผู้อาศัย ก่อนฟ้องราว ๔ เดือน สามีโจทก์ไปตัดไม้ ภรรยาจำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ ห้าไม่ให้ตัด เมื่อต้นเดือนที่ฟ้องโจทก์เองไปตัดไม้ จำเลยอ้างว่าที่รายนี้เป็นของตน ห้ามไม่ให้โจทก์ตัด เป็นการแย่งการครอบครองและเป็นปรปักษ์กับโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่รายนี้เป็นสิทธิครอบครองของโจทก์ และขับไล่จำเลยให้รื้อเรือนออกไป
จำเลยให้การว่าที่รายนี้เป็นของนายวี นายวียกให้แก่จำเลยกับคนอื่น แต่คนเหล่านี้นอกจากจำเลยไม่ได้อยู่ในที่พิพาท เรือนก็เป็นของนายวียกให้แก่จำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ครอบครองมา จำเลยอาศัยอยู่ พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรื้อเรือนออกไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลสั่งรับแต่ปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท แต่ตามฟ้าองไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จึงนำคดีมาฟ้องโดยไม่บอกเลิกสิทธิอาศัยล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควรไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๓ นั้น ตามมาตรา ๑๔๐๒ สิทธิอาศัยใช้ได้แต่เรื่องอาศัยโรงเรือนเท่านั้น การทรงสิทธิเหนือพื้นดินของผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าจึงไม่ใช่เรื่องอาศัย แต่เป็นการได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้อื่นโดยได้รับอนุญาต จะนำเรื่องการบอกเลิกล่วงหน้าแก่ผู้อาศัยตามมาตรา ๑๔๐๓ วรรค ๒ มาใช้แก่กรณีที่ดินหาได้ไม่ อีกประการหนึ่ง ตามฟ้องโจทก์ก็มีใจความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยแสดงอาการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยอ้างว่าที่รายนี้เป็นของจำเลย โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และขับไล่จำเลย เมื่อเกิดพิพาทกันขึ้นแล้วว่าที่ดินเป็นของฝ่ายใดเช่นนี้ แม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ด้วยว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยโจทก์ให้อาศัย ก็ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบอกเลิกล่วงหน้าแก่จำเลยว่าโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน