คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4818/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเคยได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องเพราะเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย และปัญหาที่ว่าคดีของจำเลยมีเหตุอันสมควรที่จะอุทธรณ์หรือไม่ ย่อมยุติแล้วตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังนั้นถึงหากจะฟังว่าจำเลยเป็นคนยากจนก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลย จึงไม่มีเหตุที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,048,725.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.75 ต่อปี ของต้นเงิน 650,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 2,563 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 86132 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า แม้ทางไต่สวนพอรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนยากจนไม่มีเงินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล แต่คดีของจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์จึงให้ยกคำร้อง หากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมศาลชำระภายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2545
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า คดีของจำเลยทั้งสองไม่มีมูลที่จะอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชอบแล้ว หากจำเลยทั้งสองประสงค์ที่จะอุทธรณ์ต่อไป ให้นำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลออกไปอีก 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2546 ครั้นครบกำหนด จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์อีก อ้างว่าจำเลยทั้งสองมีพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มให้ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนยากจน และคดีของจำเลยทั้งสองมีเหตุอันสมควรที่จะอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะนำหลักฐานว่ายากจนจริงมาแสดงต่อศาลอีก และคำสั่งที่ว่าคดีของจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ก็ถึงที่สุดแล้ว จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าคดีของจำเลยทั้งสองไม่มีมูลที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ย่อมถึงที่สุด จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องให้พิจารณาคำขอใหม่เพื่ออนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่ายากจนอีกหาได้ไม่ คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้วยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “”ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธินำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมให้ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนยากคนได้ตามกฎหมายและคดีของจำเลยมีเหตุอันสมควรที่จะอุทธรณ์นั้น เห็นว่า เดิมจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องเพราะเห็นว่าคดีของจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย และปัญหาที่ว่าคดีของจำเลยทั้งสองมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์หรือไม่ ย่อมยุติแล้วตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น ถึงหากจะฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนยากจนก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลยทั้งสอง จึงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้จำเลยทั้งสองนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share