แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้า ลงวันที่ 15 มีนาคมพุทธศักราช 2463 ข้อ 4 กำหนดว่า ที่ดินที่ศาลเจ้าตั้งอยู่ในที่ดินของรัฐบาล ก็ดีหรือในที่ดินของเอกชน แต่ได้อุทิศให้เป็นสมบัติสำหรับศาลเจ้าโดยสิทธิขาดแล้วก็ดีในหัวเมืองนอกจากเขตกรุงเทพมหานครให้มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ในนามกรมปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตามโฉนดที่ดินระบุชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ว่ากรมพะลำภังค์กระทรวงมหาดไทย(ศาลเจ้าเจตึ๊ง)เมื่อกรมพะลำภังค์ กระทรวงมหาดไทย ก็คือกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ในปัจจุบันนี้ ตามกฎเสนาบดีดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีอำนาจแต่งตั้งผู้จัดการปกครองศาลเจ้าโจทก์ได้ตามกฎเสนาบดีดังกล่าวข้อ 13 และตามกฎเสนาบดีข้อ 14กำหนดให้ผู้จัดการปกครองศาลเจ้ามีอำนาจหน้าที่จัดการทั่วไปในกิจการเพื่อประโยชน์แก่ศาลเจ้าในฐานะและกาล อันสมควรและมีอำนาจหน้าที่เข้าเป็นโจทก์หรือจำเลยในอรรถคดีทั้งแพ่งและอาญาอันเกี่ยวด้วยเรื่องศาลเจ้าทุกประการ ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทก็ตาม โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า โจทก์เป็นกุศลสถานประเภทศาลเจ้า มีว.เป็นผู้จัดการปกครองศาลเจ้า ที่ดินของโจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยกระทรวงมหาดไทย ตามสำเนาแผนที่จำลองในโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องดังนั้น โจทก์จึงนำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ไม่เป็นการนำสืบนอกเหนือคำฟ้อง การประกาศเปลี่ยนชื่อหน่วยราชการเป็นข้อเท็จจริง ที่รู้กันอยู่ทั่วไป ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลรู้เองและหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกุศลสถานประเภทศาลเจ้ามีนายวิชาญ เอกเจริญโอสถ เป็นผู้จัดการปกครองศาลเจ้าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8504 จำนวนเนื้อที่9 ไร่ 48 ตารางวา ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยกระทรวงมหาดไทยปรากฏตามสำเนาแผนที่จำลองในโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กจากที่ดินของจำเลยข้ามลำกระโดงสาธารณประโยชน์บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์และใช้ที่ดินของโจทก์เป็นทางออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์โดยจำเลยไม่มีสิทธิกระทำได้ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสะพานและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่เกี่ยวกับสะพานออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ตลอดจนไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 8504 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสะพานและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่เกี่ยวกับสะพานออกจากที่ดินของโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่ากฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้า ลงวันที่15 มีนาคม พุทธศักราช 2463 กำหนดไว้ในข้อ 4 ว่า ที่ดินที่ศาลเจ้าตั้งอยู่ในที่ดินของรัฐบาลก็ดี หรือในที่ดินของเอกชน แต่ได้อุทิศให้เป็นสมบัติสำหรับศาลเจ้าโดยสิทธิขาดแล้วก็ดี ในเขตกรุงเทพมหานครให้มีโฉนดไว้ในนามกรมพระนครบาลหัวเมืองนอกจากเขตกรุงเทพมหานครให้มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ในนามกรมปกครองกระทรวงมหาดไทย ทั้งสิ้น ซึ่งตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4โจทก์นำสืบว่าเป็นของโจทก์ ก็ได้ระบุชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ว่า กรมพะลำภังค์ กระทรวงมหาดไทย (ศาลเจ้าเจตึ๊ง)กรมพะลำภังค์ กระทรวงมหาดไทย ก็คือกรมปกครองหรือกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ในปัจจุบันนี้ โดยเปลี่ยนชื่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2505เมื่อที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในปกครองของรัฐบาลตามกฎเสนาบดีดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมจึงมีอำนาจแต่งตั้งนายวิชาญ เอกเจริญโอสถ เป็นผู้จัดการปกครองศาลเจ้าโจทก์ได้ตามกฎเสนาบดีดังกล่าวข้อ 13 และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมแต่งตั้งผู้จัดการปกครองศาลเจ้าแล้ว ตามกฎเสนาบดีดังกล่าวข้อ 14 กำหนดให้ผู้จัดการปกครองศาลเจ้ามีอำนาจหน้าที่จัดการทั่วไปในกิจการเพื่อประโยชน์แก่ศาลเจ้าในฐานะและกาลอันสมควร และมีอำนาจหน้าที่เข้าเป็นโจทก์หรือจำเลยในอรรถคดีทั้งแพ่งและอาญาอันเกี่ยวด้วยเรื่องศาลเจ้าทุกประการดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องแม้จะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8504 ก็ตาม
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบนอกเหนือคำฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า โจทก์เป็นกุศลสถานประเภทศาลเจ้ามีนายวิชาญ เอกเจริญโอสถ เป็นผู้จัดการปกครองศาลเจ้าตามสำเนาทะเบียนศาลเจ้าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1ที่ดินของโจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยกระทรวงมหาดไทยปรากฏตามสำเนาแผนที่จำลองในโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3ซึ่งเขตแผนที่จำลองดังกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ดังนั้นจึงเห็นว่าโจทก์มิได้นำสืบนอกเหนือคำฟ้อง
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า กรมพะลำภังค์กระทรวงมหาดไทย ก็คือกรมปกครองหรือกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบันนั้นเห็นว่า การประกาศเปลี่ยนชื่อหน่วยราชการเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปย่อมเป็นเรื่องที่ศาลรู้เองและหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) หาได้เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่
พิพากษายืน