แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแพ่ง ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หากแต่เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยโดยเฉพาะไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชนหรือบุคคลภายนอกแต่ประการใด ถ้าจำเลยเห็นว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยก็ชอบที่จะระวังผลประโยชน์ของตนเอง โดยต่อสู้ไว้เสียตั้งแต่ศาลชั้นต้น คดีแพ่งหาเหมือนกับคดีอาญาไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้เป็นความบกพร่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้อนี้
จำเลยทำสัญญาขายส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของคนให้โจทก์ โดยจำเลยยอมตกลงทำถนนในที่ดินของจำเลยแปลงที่ติดต่อกัน เพื่อโจทก์จะได้ใช้เป็นทางออกสู่ถนนหลวงได้ เมื่อโจทก์ผู้ซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว หากจำเลยไม่ยอมทำถนนดังกล่าว โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีเช่นนี้ จำเลยจะเถียงว่า นิติกรรมรายนี้ยังไม่มีการจดทะเบียน ยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 หาได้ไม่ เพราะชั้นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องและอ้างว่ามีสิทธิทางเดินอยู่แล้ว
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2503 เฉพาะปัญหาข้อแรก)
ย่อยาว
คดีนี้ได้ความว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๓๐๓๓, ๑๓๑๙ และ ๓๑๔๓ และได้ตกลงขายส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ ๓๑๔๓ ให้โจทก์ โดยจำเลยตกลงจะรวมโฉนดทั้งสาม ซึ่งติดต่อกัน ทำถนนผ่านกลางออกไปสู่ถนนอินทรพิทักษ์ด้านเหนือ โดยให้โจทก์ออกค่าที่ดินที่ตัดทำเป็นถนนตอนหน้าที่ดินของโจทก์ครึ่งหนึ่งและจำเลยได้เรียกเก็บเงินค่าที่ดินที่ตัดเป็นถนนดังกล่าว จากโจทก์ไปแล้ว แต่จำเลยกลับขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินนั้น เป็นทางเข้าออกและกั้นรั้วรุกเข้ามาในที่ดินที่โจทก์ซื้อด้วย
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสอง ให้จำเลยเปิดที่ดินโฉนด ที่ ๑๓๑๙ ของจำเลยเป็นทางเดินสำหรับที่ดินโฉนดที่ ๔๑๙ ของโจทก์สำหรับใช้ออกไปสู่ถนนอินทรพิทักษ์และห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารขัดขวางในการที่โจทก์จะทำและใช้ที่ดินโฉนดที่ ๑๓๑๙ ของจำเลยเป็นถนน เป็นทางเดินใช้รถยนต์เข้าออกได้ต่อไป และให้จำเลยนำโฉนดที่ ๑๓๑๙ ของจำเลยไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ให้ที่ดินโฉนดที่ ๔๑๙๔ ของโจทก์ใช้เป็นทางออกไปสู่ถนนอินทรพิทักษ์ต่อไป ถ้าจำเลยไม่นำไปจดทะเบียน ก็ให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนไปโดยถือเอาคำพิพากษานี้เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยแทน กับให้จำเลยรื้อรั้วไปจากเขตของโจทก์
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับข้อกฎหมายมีว่า :-
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่คัดค้านฟ้องของโจทก์ว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดชอบแล้ว เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ บัญญัติไว้แล้วว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในอุทธรณ์นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งและต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลชั้นต้น เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าวไว้ในวรรคสองแห่งมาตรานี้ จึงจะอยู่ในข่ายที่จะหยิบยกวินิจฉัยให้ แต่ข้อโต้แย้งของจำเลยมิได้อยู่ในหลักเกณฑ์นี้ คือ ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเพราะปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เป็นเรื่องกระทบกระเทือนถึงประชาชนทั่วไป หรือบุคคลภายนอกแต่ข้อที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม หรือไม่นี้ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลย จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้เป็นความบกพร่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยโต้แย้งว่า โจทก์อ้างได้ภารจำยอมทางนิติกรรม ก็ไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่เป็นหลักฐานตามกฎหมาย ใช้บังคับจำเลยไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยได้โอนขายที่ดินให้โจทก์ตามเอกสาร จ.๑ โดยกำหนดเงื่อนไขให้มีการตัดถนนให้โจทก์ได้ใช้ออกสู่ถนนอินทรพิทักษ์ได้ ก็เมื่อทางฝ่ายโจทก์ผู้ซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยครบถ้วนแล้ว ไฉนจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดิน และเป็นคู่สัญญากับโจทก์จะมีสิทธิบิดพลิ้วไม่จำต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา ที่ตนผูกมัดอยู่ได้อย่างไร เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติ โจทก์ในฐานะคู่สัญญาก็ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาได้ จะเถียงว่านิติกรรมรายนี้ยังไม่มีการจดทะเบียน ยังไม่บริบูรณ์ตาม มาตรา ๑๒๙๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะชั้นนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา เพื่อให้จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางและให้จำเลยไปจดทะเบียนให้โจทก์ได้สิทธิตามที่ได้ตกลงไว้ ไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องและอ้างว่ามีสิทธิทางเดินอยู่แล้ว
พิพากษายืน