คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การจ้างว่าความไม่ใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน แต่เป็นสัญญาจ้างทำของ
สิทธิเรียกร้องที่หมอความหรือทนายความจะเรียกเอาค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไป มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (15)
จำเลยให้การเพียงว่า “คดีของโจทก์ขาดอายุความ” ถือว่าจำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องกล่าวให้แจ้งชัดในคำให้การว่ากำหนดอายุความให้เริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อใด
การเป็นทนายความว่าความให้จำเลยตลอดทั้งสามศาล ตามธรรมดา ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายก็จะต้องสิ้นสุดลงในเมื่อคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด และต้องถือว่าตัวความได้รับมอบการที่ทำของทนายความในเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดชั้นฎีกา กำหนดอายุความเรียกร้องสินจ้างของทนายความก็ย่อมเริ่มนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษา
จำเลยหลายคนเป็นลูกหนี้ร่วมกันต่อโจทก์ แต่จำเลยคนหนึ่งแต่ผู้เดียวเป็นผู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะนำการยกอายุความขึ้นต่อสู้ของจำเลยผู้นั้นมาเป็นมูลฟ้องคดีสำหรับจำเลยอื่นที่ไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นทนายว่าคดีให้จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของพระยาวิสูตรสาครดิษฐ์ ตามคดีแดงที่ ๑๘/๒๔๙๖, ๕๕๒/๒๔๙๕, ๒๕๖/๒๔๙๕ ตกลงค่าจ้างกันเป็นรายคดี และให้โจทก์ทดรองค่าธรรมเนียมและค่ากระดาษแบบฟอร์มไปพลางก่อน จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายเงินให้โจทก์ ๒ คราว ๘๒,๐๐๐ บาท ยังคงค้างอีก ๑๐๙,๑๑๘.๒๐ บาท คดีถึงที่สุด โจทก์ได้ทวงถาม จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในจำนวนค่าธรรมเนียม ค่าบำเหน็จดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ รับว่า ได้มอบหมายให้โจทก์ว่าความจริง ชำระค่าจ้างไป ๘๒,๐๐๐ บาท ยังคงค้างอยู่ตามฟ้อง แต่แก้ว่าเพราะจำเลยที่ ๓ บิดพลิ้วไม่ช่วยเหลือ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้บิดพลิ้ว โจทก์ด่วนมาฟ้องจำเลยไม่ต้องรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมและดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ชำระเกินส่วนที่จำเลยที่ ๑ จะต้องจ่ายให้โจทก์ โจทก์ควรเรียกเอากับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ รับว่า ได้มอบหมายให้โจทก์ว่าความจริง จำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าบำเหน็จไปบ้างแล้ว จำเลยไม่ได้บิดพลิ้ว ขณะนี้ยังแบ่งมรดกไม่เสร็จ แบ่งเสร็จเมื่อใดก็จะร่วมกันชำระให้โจทก์ตามข้อตกลง โจทก์ด่วนมาฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมและดอกเบี้ย ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ รับว่า ได้จ้างโจทก์ต่อสู้คดีและฟ้องคดี ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ได้คิดเป็นรายคดี ถ้าคดีถึงที่สุดจะแบ่งเงินก้อนหนึ่งให้เป็นบำเหน็จ ถ้าคดีแพ้ก็จะไม่คิดให้ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้จ่ายเงินให้ตามฟ้อง จำเลยที่ ๓ ได้ถอนโจทก์จากเป็นทนายแล้ว โจทก์ยังได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๒ เรียกร้องค่าจ้างว่าความ แต่โจทก์หาได้ฟ้องภายในเวลา ๒ ปีไม่ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ทำแทนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องรับผิดร่วมกัน แม้จำเลยที่ ๓ จะถอนทนายก็หาพ้นจากความรับผิดไม่ จำเลยยังคงค้างค่าจ้างตามที่โจทก์ฟ้อง การจ้างว่าความเป็นการจ้างทำของ อายุความฟ้องร้องมีกำหนด ๒ ปี บำเหน็จคดีแดงที่ ๑๘/๒๔๙๖ ยังไม่ขาดอายุความ บำเหน็จคดีแดงที่ ๔๕๖/๒๔๙๕ และที่ ๒๕๖/๒๔๙๕ โจทก์ฟ้องเกิน ๒ ปี ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยทั้ง ๓ ร่วมกันรับผิดเป็นเงิน ๘๐,๓๙๔.๒๐ บาท กับดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๓ และโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยที่ ๓ ได้ต้องรับผิดในค่าบำเหน็จค่าจ้างในคดีแดงที่ ๑๘/๒๔๙๖ เพราะขาดอายุความแล้ว และให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันรับผิดในเงินค่าธรรมเนียมบำเหน็จอีก ๖๖ บาทต่อโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า
๑. การจ้างว่าความไม่ใช่เป็นสัญญาจ้างทำของ หากเป็นสัญญาจ้างแรงงาน จะใช้อายุความ ๒ ปีไม่ได้
๒. จำเลยไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้งในคำให้การว่า กำหนดอายุความให้เริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อใด จำเลยที่ ๓ ให้การห้วน ๆ ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่งมาตรา ๑๗๗
๓. ศาลนับเอาเวลาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเวลาเริ่มนับอายุความไม่ถูกต้อง
๔. การที่จำเลยที่ ๓ ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ไม่ควรให้มีผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ด้วย
ฎีกาโจทก์ข้อ ๑ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาจ้างแรงงานนั้น เป็นเรื่องที่นายจ้างต้องการแรงงานเป็นสิ่งตอบแทน และใช้สินจ้างกันตามระยะเวลาที่ทำงานให้ ทั้งลูกจ้างจะต้องอยู่ในบังคับบัญชาของนายจ้าง นายจ้างย่อมเป็นผู้สั่งการให้ทำงาน ส่วนสัญญาจ้างทำของนั้น เป็นสัญญาที่ต้องการตอบแทนด้วยผลสำเร็จในงานอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ว่าจ้างเข้าบังคับบัญชาการงานของผู้รับจ้าง เมื่อผู้ว่าจ้างไม่พอใจในการกระทำของผู้รับจ้างอันไม่ชอบ ผู้ว่าจ้างจะกระทำได้แต่เพียงเลิกสัญญา ไม่ใช่ไล่ออก สัญญาจ้างให้ว่าความในกรณีนี้เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการจ้างให้โจทก์ใช้ความรู้ความสามารถของโจทก์ว่าความในคดีความทั้ง ๓ นั้น ตลอดจนสำเร็จการว่าความแก่ศาลชั้นต้นถึงศาลฎีกา ทั้งสามศาล วัตถุประสงค์ของการจ้างจึงอยู่ที่ผลสำเร็จแห่งการงาน คือ การว่าความในคดีให้ตลอดทั้งสามคดี แต่ละคดีไม่ใช่เป็นการจ้างโดยต้องการแรงงานและให้สินจ้างตามระยะเวลาที่ทำการงานให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับแรงงาน สัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่จำต้องมีการส่งมอบของที่ทำตามที่โจทก์ฎีกากล่าวอ้าง
กรณีของโจทก์จึงไม่ต่างกับการรับจ้างตัดผมซึ่งถือเอาผลสำเร็จของการตัดผมเป็นหัว ๆ ไป โดยไม่ได้ตกลงกันให้สินจ้างตามระยะเวลาที่ทำการตัด ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น (อ้างฎีกาที่ ๑๗๓/๒๔๘๘) อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ ก็ได้บัญญัติกำหนดอายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องที่หมอความหรือทนายความจะเรียกเอาค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไปให้มีกำหนดอายุความเพียงสองปีตาม (๑๕) โดยตรงอยู่แล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงต้องมีกำหนดอายุความ ๒ ปี
ฎีกาโจทก์ข้อ ๒ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓ ได้บัญญัติไว้ว่า “เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ท่านว่าศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นมูลยกฟ้องไม่ได้” คดีนี้ จำเลยที่ ๓ ได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ส่วนสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดมีขึ้นเมื่อใด และยังคงมีอยู่ในเวลาฟ้องหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบให้ปรากฏต่อศาล ฯลฯ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาโจทก์ข้อ ๓ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๙ ได้บัญญัติว่า “อันอายุความนั้น ท่านให้นับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ฯลฯ” และมาตรา ๖๐๒ ได้บัญญัติว่า “อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำให้ ฯลฯ” การที่ทำในกรณีนี้ก็คือ การเป็นทนายความว่าความให้จำเลยตลอดทั้งสามศาล ตามธรรมดาถ้าไม่ตกลงกันไว้ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายก็จะต้องสิ้นสุดในเมื่อมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด กรณีต้องถือว่าตัวความได้รับมอบการที่ทำของทนายความในเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่ากำหนดอายุความของโจทก์เริ่มนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษานั้น จึงเป็นการชอบแล้ว ฯลฯ
ฎีกาโจทก์ข้อ ๔ คงมีความหมายให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต้องรับผิดสำหรับค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไปสำหรับคดีแดงที่ ๕๕๖/๒๔๙๕ และคดีแดงที่ ๒๕๖/๒๔๙๕ เพราะคดีแดงที่ ๑๘/๒๔๙๖ ศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดอยู่แล้ว ่ ฯลฯ ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ ๒ รายนี้เกิดขึ้นเพราะจำเลยทั้งสามร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความว่าความให้จำเลยร่วมกันในคดีดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์โดยร่วมกัน และแทนกัน ต้องด้วยลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๕ แห่งประมวลกฎหมายนั้นได้บัญญัติไว้ว่า “ข้อความจริงอื่นใดนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๙๒ ถึง ๒๙๔ นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใด ก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่คำบอกกล่าว การผิดนัด การหยิบยกอ้างความผิด การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กำหนดอายุความ หรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน” ดังนี้ จะเห็นได้ว่า
ในเรื่องอายุความกฎหมายต้องการให้เป็นกรณีสำหรับลูกหนี้คนใดคนหนึ่งโดยเฉฑาะเป็นส่วนตัว มิใช่ให้เป็นคุณและเป็นโทษโดยส่วนรวมดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๒ ถึง ๒๙๔ นั้น ในคดีเรื่องนี้จำเลยที่ ๓ แต่ผู้เดียวเป็นผู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓ ได้บัญญัติไว้ว่า เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นมูลยกฟ้องไม่ได้ และเมื่อข้อความจริงนี้ มาตรา ๒๙๕ บัญญัติให้ท้าวถึงลูกหนี้ร่วมเป็นส่วนตัวเฉพาะคน ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ศาลจะนำการยกอายุความขึ้นต่อสู้มิได้ มาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ว่าโดยหลักแล้ว ท่านก็ห้ามมิให้ถือว่าคู่ความร่วมเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เมื่อมูลความแห่งคดีนี้เป็นการชำระหนี้ซึ่งมาตรา ๒๙๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติให้แบ่งแยกจากกันดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงไม่อาจได้รับประโยชน์จากคำให้การของจำเลยที่ ๓ ได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้เงินให้โจทก์รวมทั้งสิ้น ๑๐๙,๑๑๘.๒๐ บาทกับดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงยืนตามศาลอุทธรณ์

Share