แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นลูกจ้าง ม. ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขา ม.ต้องการใช้เงินแต่ไม่สามารถกู้เงินในนามตนเองได้จึงทำให้จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับธนาคารโจทก์ เงินที่ได้รับมา ม.จะรับเงินนั้นไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวทั้งหมดโดยในใจจริงของจำเลยถือว่าทำนิติกรรมพิพาทแทน ม. โดยไม่มีเจตนาให้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ก็ตาม แต่ ม. ในฐานะผู้จัดการสาขาของโจทก์ไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 ความรู้ของ ม.จะถือเป็นความรู้ของโจทก์ด้วยไม่ได้ จำเลยต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมาตาม มาตรา 117 จำเลยต้องชำระเงินตาม สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์205,393.64 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 64,211.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสองทำนิติกรรมก่อหนี้ตามฟ้องแทนนายมานพ ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ไม่ได้กระทำการในฐานะตนเองนิติกรรมที่นายมานพกำหนดให้จำเลยทั้งสองกระทำกับโจทก์ย่อมเป็นโมฆะไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองนั้น จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนำสืบว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของนายมานพซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบางแค นายมานพต้องการใช้เงินแต่ไม่สามารถกู้เงินในนามตนเองได้ นายมานพจึงให้จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรองเป็นอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยนายมานพบอกจำเลยทั้งสองว่าจะรับผิดชอบตามสัญญานั้นเอง จำเลยที่ 1ไม่ได้รับเงินตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์
โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ตามรายละเอียดที่ตกลงกันไว้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 และจำเลยที่ 1 ยังได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารโจทก์สาขาบางแค อีก 1 ฉบับ โดยมีข้อตกลงกันตามเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรองเป็นอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์เมื่อหักทอนบัญชีกันแล้วกับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องผูกพันตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์นั้น เห็นว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 อ้างว่าทำนิติกรรมพิพาทในฐานะจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของนายมานพซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของโจทก์ นายมานพได้รับเงินตามสัญญานั้นแต่ผู้เดียว จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับเงินตามสัญญานั้นนอกจากข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวคงได้จากลำพังคำเบิกความของจำเลยโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนแล้ว ไม่ปรากฏมีข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยจากพยานเอกสารทั้งหมดที่โจทก์เป็นผู้ส่งเป็นพยานโจทก์ต่อศาล และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รู้เรื่องราวตามข้อต่อสู้ของจำเลยแต่อย่างใด ฉะนั้นแม้ความจริงนิติกรรมพิพาทเกิดขึ้น โดยนายมานพกับจำเลยตกลงกันไว้ว่าจำเลยกระทำแทนนายมานพเท่านั้นเงินที่ได้รับมาจากโจทก์นายมานพจะรับเงินนั้นไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวทั้งหมดโดยในใจจริงของจำเลยถือว่า ทำนิติกรรมพิพาทแทนนายมานพโดยไม่มีเจตนาให้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ก็ตาม แต่นายมานพในฐานะผู้จัดการสาขาของโจทก์ไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 ความรู้ของนายมานพตามข้อต่อสู้ของจำเลยจะถือเป็นความรู้ของโจทก์ด้วยไม่ได้จำเลยต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 117 ด้วยเหตุผลตามที่ได้วินิจฉัย เห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 1,500 บาทแทนโจทก์