แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ซื้อที่ดินจาก ฉ. ได้ซื้อบ้านที่โจทก์ปลูกลงในที่ดินนั้นพร้อมกันด้วยและโจทก์ได้จัดเตรียมแบบแปลนสำหรับปลูกบ้านในที่ดินทุกแปลงไว้เหมือนกันทุกหลังกับได้สร้างบ้านตัวอย่างขึ้นไว้ให้ผู้ซื้อได้ดูเป็นตัวอย่าง อีกทั้งโจทก์ได้ลงมือปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินเป็นการล่วงหน้าไปก่อนที่ผู้ซื้อจะได้ตกลงทำสัญญาซื้อที่ดินกับ ฉ. และทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างกับโจทก์ แสดงว่าโจทก์ลงมือปลูกสร้างบ้านขึ้นเพื่อขายมาแต่ต้น อันเป็นลักษณะของการขายตามตัวอย่าง หาใช่เป็นการรับจ้างทำของไม่ ยิ่งกว่านั้นบ้านที่โจทก์ปลูกสร้างลงในที่ดินของ ฉ.โดยได้รับความยินยอมจากฉ. นั้นย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อผู้ซื้อประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้าน จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อที่ดินและบ้านจาก ฉ. และโจทก์แต่โจทก์กลับจัดให้ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อที่ดินจาก ฉ. และทำสัญญาว่าโจทก์รับเหมาก่อสร้างบ้านให้ผู้ซื้อที่ดินจาก ฉ. โดยใช้สัมภาระของโจทก์ขึ้นไว้แทน ซึ่งไม่ตรงต่อความเป็นจริง ดังนี้ รายรับที่โจทก์ได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้แก่ผู้ซื้อจึงเป็นรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) โดยขอหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรตรงตามจำนวนเงินในสัญญาจ้างเหมาผู้อื่นปลูกสร้างบ้าน เป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์จ่ายไปจริง ถือได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินได้หักค่าใช้จ่ายแก่โจทก์ตามความจำเป็นและสมควรเป็นการถูกต้องแล้ว ส่วนที่โจทก์ขอหักค่าใช้จ่ายตามราคาประเมินของกรมโยธาธิการนั้น เป็นเพียงราคาจากการประเมินมิใช่ค่าใช้จ่ายที่โจทก์จ่ายไปจริง จึงมิใช่ค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรอันจะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่ม ปี พ.ศ. 2521เป็นเงิน 1,643,942.40 บาท และปี พ.ศ. 2522 เป็นเงิน 604,992 บาทโดยอ้างว่าโจทก์มีเงินได้จากการขายอาคาร ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) และประเมินให้โจทก์ชำระภาษีการค้ารวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับเดือนมกราคม ถึง ธันวาคม 2521 จำนวน520,914.33 บาท และสำหรับเดือนมกราคม ถึง ธันวาคม 2522 จำนวน361,214.04 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ประกอบการค้า ประเภทการค้า 11การค้าอสังหาริมทรัพย์ กับประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายและเงินเพิ่ม ปี พ.ศ. 2521 จำนวน1,706.40 บาท และปี พ.ศ. 2522 จำนวน 1,900.80 บาท โดยอ้างว่าโจทก์จ่ายเงินได้พึงประเมินแก่ลูกจ้างโดยมิได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้และนำส่งให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50, 52 การที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีทั้งสามประเภทดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะโจทก์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบ้าน อันเป็นประเภทการค้า 4 การรับจ้างทำของชนิด 1(ค) การปลูกสร้างหรือก่อสร้างทุกชนิด ซึ่งโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีไว้ครบถ้วนแล้วและการที่เจ้าพนักงานประเมินหักราคาต้นทุนการรับเหมาก่อสร้างบ้านให้เพียงหลังละ 90,000 บาท ก็ไม่ตรงต่อความจริง เพราะราคาต้นทุนหลังละไม่ต่ำกว่า 183,500 บาท อีกทั้งโจทก์ไม่มีหน้าที่หักภาษีณ ที่จ่ายสำหรับค่าจ้างคนงานในปี พ.ศ. 2521 และ 2522 โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ให้ความร่วมมือแก่เจ้าพนักงานในการตรวจสอบภาษีเป็นอย่างดีไม่ได้มีเจตนาเลี่ยงภาษี ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กับขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับด้วย
จำเลยให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อแรกมีว่า ในปี พ.ศ. 2521 และ 2522 โจทก์มีรายรับจากการรับจ้างปลูกสร้างบ้าน หรือว่ามีรายรับจากการขายบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรเห็นว่าโจทก์มีเพียงตนเองเบิกความประกอบสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างว่า โจทก์มีรายรับจากการรับจ้างเหมาปลูกสร้างบ้านตามข้อสัญญาดังกล่าว ส่วนจำเลยมีนางสาวชะอุ่ม เสนอคำ หัวหน้างานควบคุมการตรวจสอบภาษีอากรนางสาวอังคณา ประจิมทิศ ผู้ร่วมบันทึกคำพยาน นางสาวสุรัตน์ป้องป้อม พยานในบันทึกคำพยาน นายเวทิต สุทธิเวชกุล ผู้ตรวจสอบและบันทึกคำพยาน นางจิราพร ชาเจียมเจน ผู้ตรวจสอบและบันทึกคำพยาน เบิกความประกอบเอกสารว่า ผู้ซื้อที่ดินจากนางสาวฉวีวรรณได้ซื้อบ้านที่โจทก์ปลูกลงในที่ดินนั้นพร้อมกันด้วย และข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่าโจทก์ได้จัดเตรียมแบบแปลนบ้านสำหรับปลูกในที่ดินทุกแปลงไว้เหมือนกันทุกหลัง กับได้สร้างบ้านตัวอย่างขึ้นไว้ให้ผู้ที่จะซื้อได้ดูเป็นตัวอย่างอีกทั้งโจทก์ได้ลงมือปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินเป็นการล่วงหน้าไปก่อนที่ผู้ซื้อจะได้ตกลงทำสัญญากับนางสาวฉวีวรรณและโจทก์ ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ลงมือปลูกสร้างบ้านขึ้นเพื่อขายมาแต่ต้น หาใช่การรับจ้างทำของไม่ ทั้งบ้านที่โจทก์ปลูกสร้างลงในที่ดินของนางสาวฉวีวรรณโดยได้รับความยินยอมจากนางสาวฉวีวรรณนั้น ย่อมจะเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อผู้ซื้อประสงค์จะได้ที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวฉวีวรรณพร้อมบ้านซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อที่ดินและบ้านจากนางสาวฉวีวรรณและโจทก์ แต่โจทก์กลับจัดให้ผู้ซื้อทำสัญญาจะซื้อที่ดินจากนางสาวฉวีวรรณและทำสัญญาว่า โจทก์รับจ้างเหมาก่อสร้างบ้านให้ผู้ซื้อที่ดินจากนางสาวฉวีวรรณโดยใช้สัมภาระของโจทก์ขึ้นไว้แทน จึงเป็นการไม่ตรงต่อความเป็นจริง รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับจ้างปลูกสร้างบ้านแก่ผู้ซื้อตามสัญญาดังที่โจทก์อ้างดังนั้น รายรับที่โจทก์ได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้แก่ผู้ซื้อจึงเป็นรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามประเภทการค้า 11 การค้า อสังหาริมทรัพย์ซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้าอัตราร้อยละ 3.5 ของรายรับ หาใช่รายรับจากการรับจ้างปลูกสร้างตามประเภทการค้า 4 ชนิด 1 (ค) ตามที่โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งไม่
ประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อต่อไปมีว่า การหักค่าใช้จ่ายให้แก่โจทก์ สำหรับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในปี พ.ศ. 2521เป็นเงิน 1,820,000 บาท และปี พ.ศ. 2522 เป็นเงิน 1,685,000 บาทนั้น เป็นการถูกต้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขอเสียภาษีตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังสำหรับเงินได้ปี พ.ศ. 2521 โดยขอหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรไว้ จำนวน 1,820,000 บาท และเงินได้ปี พ.ศ. 2521โจทก์ขอหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรไว้ จำนวน 1,685,000 บาทตรงตามจำนวนเงินที่โจทก์จ้างเหมาผู้อื่นปลูกสร้างบ้าน จึงฟังได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้จ่ายไปจริง ถือได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินได้หักค่าใช้จ่ายให้แก่โจทก์ตามความจำเป็นและสมควรเป็นการถูกต้องแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้หักค่าใช้จ่ายแก่โจทก์โดยอ้างว่าต้นทุนในการที่โจทก์ปลูกสร้างบ้านแต่ละหลังเป็นเงิน 158,200 บาทตามราคาประเมินของกรมโยธาธิการนั้น เห็นว่า ราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาจากการประเมิน มิใช่ราคาที่โจทก์ได้จ่ายไปจริง จึงมิใช่ค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรอันจะนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11)พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ทวิ
ประเด็นสุดท้ายที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลดหรืองดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับแก่โจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์มีรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ สำหรับปี พ.ศ. 2521 เป็นเงิน 4,487,070 บาทและปี พ.ศ. 2522 เป็นเงิน 2,907,800 บาท แต่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี สำหรับปี พ.ศ. 2521 ในยอดรายรับเพียง 2,027,800 บาทและสำหรับปี พ.ศ. 2522 ในยอดรายรับเพียง 1,685,000 บาท เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับให้
พิพากษายืน