แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยมีมูลหนี้ที่ป. จะต้องชำระให้แก่โจทก์จริงโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบจำเลยในฐานะทายาทป. ผู้สั่งจ่ายเช็คจึงต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่าป. สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวจะแตกต่างไปจากคำฟ้องที่ระบุว่าสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าที่ดินไปบ้างก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดของมูลหนี้ที่นำมาสู่การสั่งจ่ายเช็คพิพาทเท่านั้นแต่ก็เป็นเหตุที่ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบเช่นเดียวกันทั้งโจทก์ก็ฟ้องโดยมุ่งประสงค์ให้จำเลยรับผิดตามเช็คที่ป.เป็นผู้สั่งจ่ายเป็นสำคัญมิได้มุ่งให้รับผิดในมูลหนี้ซื้อขายที่ดินโดยตรงจึงไม่ถึงกับทำให้คดีของโจทก์เสียไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายโปร่ง ชัยกิจ สามีจำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารมหานคร จำกัด สาขาจันทบุรี ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2534จำนวนเงิน 200,000 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าที่ดินทำเหมืองพลอยให้แก่โจทก์ ก่อนเช็คถึงกำหนดนายโปร่งถึงแก่ความตายเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ติดตามทวงถามให้จำเลยในฐานะภรรยาและทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายโปร่งชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 200,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายโปร่งสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการซื้อที่ดินจากนายลำใย สูงสกุล โดยเมื่อเดือนมกราคม 2533นายลำใยกับพวกได้บอกขายที่ดินมือเปล่า เนื้อที่ 75 ไร่ให้นายโปร่งในราคา 3,000,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นที่ดินที่มีพลอยอยู่มากพร้อมที่จะทำเป็นเหมือง ในการตกลงซื้อขายกันนั้นได้ให้นายโปร่งเข้าตรวจก่อนว่ามีประมาณแร่พลอยพอแก่การลงทุนหรือไม่ โดยมีข้อแม้ว่านายโปร่งจะต้องจ่ายเงิน300,000 บาท เป็นค่าตอบแทนในการที่เข้าค้นหาแร่พลอยพร้อมกับต้องสั่งจ่ายเช็คจำนวน 200,000 บาท ไว้เป็นประกันหากตรวจค้นหาแร่หรือสายแร่พลอยได้มูลค่าไม่น้อยกว่า 500,000 บาทให้ถือว่ามีแร่พลอยพอแก่การลงทุนจะต้องซื้อที่ดินดังกล่าวทั้งยอมให้นายลำใยนำเช็คไปขึ้นเงินได้ หากการตรวจค้นหาแร่พลอยไม่พอแก่การลงทุนทำเหมืองนายลำใยจะต้องคืนเช็คให้แก่นายโปร่งนายโปร่งจึงสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้นายลำใย ต่อมาเมื่อนายโปร่งเข้าทำการตรวจค้นหาสายแร่แล้วปรากฏว่ามีแร่พลอยไม่เพียงพอต่อการลงทุน จึงได้แจ้งยกเลิกการซื้อขายที่ดินดังกล่าวพร้อมทั้งให้นายลำใยคืนเช็คพิพาทแก่นายโปร่ง แต่นายลำใยผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งนายโปร่งถึงแก่ความตายการที่โจทก์นำเช็คพิพาทมาฟ้องเป็นคดีนี้เป็นการคบคิดฉ้อฉลระหว่างโจทก์กับนายลำใยโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายโปร่งตามกฎหมายชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่12 กันยายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย และที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า นายโปร่งสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าที่ดิน แต่กลับนำสืบว่าเป็นการสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.7เป็นการนำสืบนอกจากที่กล่าวในฟ้อง และสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระบุแต่เพียงนายลำใย สูงสกุล เป็นผู้ซื้อที่ดินการที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่านายโปร่งเป็นผู้ร่วมซื้อที่ดินด้วยเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ทั้งพยานหลักฐานของจำเลยก็รับฟังได้ว่าโจทก์กับนายลำใยคบคิดกันฉ้อฉล จึงฟังได้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ข้อนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท จำเลยให้การว่า นายโปร่งสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้นายลำใยไว้เป็นประกัน ระหว่างการตรวจค้นหาปริมาณแร่พลอย หากได้แร่พลอยไม่น้อยกว่า 500,000 บาท นายโปร่งจะต้องซื้อที่ดินโดยยอมให้นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินได้ ปรากฏว่ามีแร่พลอยไม่เพียงพอต่อการลงทุน นายโปร่งจึงยกเลิกการซื้อที่ดินและแจ้งให้นายลำใยคืนเช็คพิพาท นายลำใยไม่คืน โจทก์นำเช็คพิพาทมาฟ้องโดยโจทก์กับนายลำใยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย เห็นว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่สั่งจ่ายให้ผู้ถือ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือจึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 และตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวจำเลยรับว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คคงต่อสู้แต่เพียงว่า โจทก์กับนายลำใยคบคิดกันฉ้อฉลเท่านั้น จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยมีหน้าที่นำสืบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 เห็นว่า โจทก์มีสัญญาเอกสารหมาย จ.7 และเช็คกับใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3และ จ.9 เป็นพยานสนับสนุน มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนจำเลยคงมีพยานบุคคลเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยมีมูลหนี้ที่นายโปร่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์จริงโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบจำเลยในฐานะทายาทนายโปร่งผู้สั่งจ่ายเช็คจึงต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่านายโปร่งสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวจะแตกต่างไปจากคำฟ้องที่ระบุว่าสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าที่ดินไปบ้างก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดของมูลหนี้ที่นำมาสู่การสั่งจ่ายเช็คพิพาทเท่านั้น แต่ก็เป็นเหตุที่ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบเช่นเดียวกัน ทั้งโจทก์ฟ้องโดยมุ่งประสงค์ให้จำเลยรับผิดตามเช็คที่นายโปร่งเป็นผู้สั่งจ่ายเป็นสำคัญมิได้มุ่งให้รับผิดในมูลหนี้ซื้อขายที่ดินโดยตรงจึงไม่ถึงกับทำให้คดีของโจทก์เสียไป และไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง ที่โจทก์นำสืบว่านายโปร่งร่วมซื้อที่ดินกับนายลำใยด้วยแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากสัญญาซื้อขายที่ดิน ก็ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
พิพากษายืน