คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4793/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลอยู่ จำเลยจะมีสิทธิได้รับชำระภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมิน และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วหรือไม่ ต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเสียก่อน การที่โจทก์ไม่ชำระภาษีอากรตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หาเป็นการโต้แย้งสิทธิที่จำเลยจะนำคดีมาฟ้องไม่ เมื่อจำเลยแจ้งการประเมินภาษีให้โจทก์ทราบแล้ว ถือว่าเป็นการสั่งบังคับตามอำนาจกฎหมายเพื่อให้ลูกหนี้ใช้หนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้อง อันมีผลใช้ลูกหนี้อาจถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล การสั่งบังคับดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นในอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 193/14 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายในปีภาษีพ.ศ. 2520 ถึง พ.ศ. 2524 และที่ให้โจทก์ปรับปรุงยอดขาดทุนสุทธิในปี พ.ศ. 2520 และให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 รวมเป็นเงินที่ขอให้เพิกถอนการประเมิน 3 รายการเป็นเงิน 97,685,783.49 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมทั้งเงินเพิ่มเป็นคุณแก่โจทก์และชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระค่าภาษีและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงิน 53,186,740.61บาท แก่จำเลย
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าการที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์อันเป็นการดำเนินการตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ที่บัญญัติว่า “เว้นแต่ในกรณีห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 33 ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์” ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่าการที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ ก็โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าการประเมินและคำวินิจฉัยชอบหรือไม่ ศาลจึงมีอำนาจเปลี่ยนแปลง แก้ไข ยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ เมื่อคดีนี้โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลอยู่ จำเลยมีสิทธิจะได้รับชำระภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วหรือไม่ จึงต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเสียก่อน การที่โจทก์ไม่ชำระภาษีอากรตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงหาได้เป็นการโต้แย้งสิทธิที่จำเลยจะนำคดีมาฟ้อง ดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ จำเลยจึงยังไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหากจำเลยไม่สามารถฟ้องแย้งหรือฟ้องเรียกหนี้ภาษีอากรในคดีอุทธรณ์การประเมินซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลยังไม่ถึงที่สุดได้ อาจทำให้จำเลยไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชำระภาษีให้ชำระภาษีอากรได้ทันภายในอายุความหรือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดนั้นเห็นว่าเมื่อจำเลยแจ้งการประเมินภาษีให้โจทก์ทราบแล้ว ถือว่าเป็นการสั่งบังคับตามอำนาจกฎหมายเพื่อให้ลูกหนี้ใช้หนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้อง อันมีผลให้ลูกหนี้อาจต้องถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล การสั่งบังคับดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นในอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการที่เจ้าหนี้ฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 193/14 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงยังไม่ขาดอายุความ ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคแรกประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 17 เมื่อศาลภาษีอากรกลางสั่งไม่รับฟ้องแย้งศาลภาษีอากรกลางต้องมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งทั้งหมดดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้ค่าขึ้นศาลเป็นพับ จึงไม่ชอบสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน

Share