คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาขายที่นาให้โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อที่นานั้นเป็นที่ดินมือเปล่ามีแต่เพียงสิทธิครอบครองและจำเลยซึ่งเคยครอบครองอยู่ได้ขอเช่าที่นานั้นจากโจทก์หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว กรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 วรรคหนึ่ง ว่า การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผล ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอน ถือได้ว่าได้มีการโอนการครอบครองให้โจทก์แล้วโดยถูกต้อง

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2493 โจทก์ซื้อที่นามือเปล่าจำเลย 1 แปลงแล้วให้จำเลยเช่าทำต่อเรื่อยมาโดยเก็บค่าเช่าเป็นข้าวปีละ 150 ถังจำเลยได้แจ้งการครอบครอง ส.ค.1 สำหรับที่นาแปลงนี้ไว้ พ.ศ. 2509 จำเลยยื่นคำร้องขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยหลอกลวงเจ้าพนักงานว่าที่นาดังกล่าวเป็นของจำเลย เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โดยที่โจทก์ไม่ทราบ ต่อมา พ.ศ. 2510 โจทก์ไปเก็บข้าวค่าเช่าจำเลยก็ขอผัดผ่อนเรื่อยมา ในที่สุดอ้างว่านาเป็นของจำเลย และนำเอกสาร น.ส.3 มาแสดง โจทก์จึงทราบเรื่อง และได้ไปร้องเรียนต่อทางอำเภอ เมื่ออำเภอเรียกจำเลยไปสอบถาม จำเลยก็รับว่าเป็นนาของโจทก์ แต่ไม่ยอมออกไปและไม่ยอมให้แก้ชื่อในเอกสารเป็นชื่อโจทก์ จึงขอให้พิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและสั่งเพิกถอนหนังสือ น.ส. 3 ดังกล่าว

จำเลยให้การว่า จำเลยได้นาพิพาทมาโดยการบุกเบิกและได้แจ้งการครอบครอง ส.ค. 1 ไว้ จำเลยไม่เคยขายนาพิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. 2490จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยเป็นข้าวปีละ 105 ถัง ต่อมา พ.ศ. 2491-2492 จำเลยไม่ได้ส่งดอกเบี้ยเพราะทำนาไม่ได้ โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นโดยให้จำเลยส่งข้าวเป็นดอกเบี้ยปีละ 150 ถัง ซึ่งจำเลยส่งมาทุกปี จน พ.ศ. 2508 จำเลยจึงไม่ยอมส่งจำเลยไม่เคยเช่านาพิพาทจากโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือ น.ส.3 โดยมิได้หลอกลวงเจ้าพนักงาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและให้เพิกถอนหนังสือ น.ส.3

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า การซื้อขายนาพิพาทมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน จึงไม่สมบูรณ์

ศาลฎีกาเห็นว่า “แม้การซื้อขายที่นาพิพาทจะทำหนังสือกันเองและมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้สัญญาซื้อขายที่นาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ก็จริง แต่ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งมีแต่สิทธิครอบครองซึ่งอาจโอนกันได้โดยส่งมอบหรือเพียงแสดงเจตนา ซ้ำในคดีนี้จำเลยซึ่งเคยครอบครองอยู่ได้ขอเช่าที่นาพิพาทจากโจทก์หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว กรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1380 วรรค 1ที่ว่า การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผล แม้ผู้โอนยังยึดถือทรัพย์สินอยู่ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอนและโดยที่จำเลยเช่านาพิพาทจากโจทก์ต่อมา จึงถือว่าจำเลยยึดถือที่นาพิพาทไว้แทนโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า ได้มีการโอนการครอบครองให้โจทก์แล้วโดยถูกต้อง ฯลฯ”

พิพากษายืน

Share