คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินคือ ที่พิพาทในคดีนี้ให้โจทก์ ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าลายมือชื่อผู้ขายไม่ใช่ลายเซ็นที่แท้จริงของจำเลย สำหรับคดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์และขอเรียกค่าเสียหายก็ดี ก็คงได้ความตามฟ้องของโจทก์ว่าที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ก็โดยโจทก์ถือว่าจำเลยได้ขายขาดที่พิพาทให้โจทก์แล้วเช่นเดียวกัน มูลเหตุที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็คงอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ศาลได้พิพากษาชี้ขาดมาแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงขายขาดสิทธิในที่ดินนามือเปล่า 1 แปลงให้แก่โจทก์ จำเลยได้แสดงเจตนาสละการครอบครอง มอบที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เข้าครอบครองตลอดมาแต่มิได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขาย จดทะเบียนกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยบังอาจบุกรุกลงทำการไถนาและปักดำในที่ดินนาเสียทั้งแปลง เพื่อแย่งการครอบครองของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินนาแปลงพิพาทเป็นของโจทก์

จำเลยให้การว่าไม่เคยทำสัญญาตกลงขายขาดสิทธิในที่ดินนาตามฟ้องโจทก์ ไม่เคยสละสิทธิให้โจทก์ครอบครองที่ดินตามสัญญาดังฟ้องโจทก์ เมื่อปี พ.ศ. 2509 โจทก์กับจำเลยได้พิพาทกันที่ศาลมาครั้งหนึ่งแล้วเกี่ยวกับสัญญาฉบับนี้ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์นำคดีนี้มาฟ้อง จึงเป็นการฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เป็นการฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาต่อมาว่าไม่เป็นการฟ้องซ้ำ

ได้ความว่า ก่อนคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 148/2509 ว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ (คือที่พิพาทกันในคดีนี้) แล้วจำเลยผิดสัญญา ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทำการโอนขายและจดทะเบียนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ในคดีนั้นว่า จำเลยไม่เคยขายที่ดินให้โจทก์ สัญญาที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นสัญญาที่โจทก์ปลอมลายเซ็นชื่อของจำเลยในช่องผู้ขายขึ้น

ในชั้นพิจารณาคดีนั้น โจทก์จำเลยตกลงท้ากันว่า ลายเซ็นในสัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างในช่องผู้ขาย ถ้าเป็นลายเซ็นของจำเลย จำเลยเป็นฝ่ายแพ้ ถ้าไม่ใช่ลายเซ็นจำเลย โจทก์เป็นฝ่ายแพ้ โดยโจทก์จำเลยยอมตัดประเด็นข้อโต้เถียงอื่นเสียทั้งสิ้น การพิสูจน์ลายเซ็นคู่ความให้เจ้าหน้าที่กองวิทยาการกรมตำรวจเป็นผู้พิสูจน์ คู่ความยอมผูกพันตามคำชี้ขาดของผู้เชี่ยวชาญ และให้ศาลชี้ขาดไปตามนั้นโดยคู่ความจะไม่สืบพยานอื่นใด ผลของการตรวจพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์ว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ขายตามสัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างนั้น ไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า ลายมือชื่อผู้ขายในสัญญาที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ลายเซ็นชื่อแท้จริงของจำเลยจึงชี้ขาดคดีไปตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี คดีถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีก่อน (คือคดีตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 148/2509) นั้น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดิน คือ ที่พิพาทในคดีนี้ให้โจทก์ ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่า ลายมือชื่อผู้ขายไม่ใช่ลายเซ็นที่แท้จริงของจำเลย สำหรับคดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์ และขอเรียกค่าเสียหายก็ดี ก็คงได้ความตามฟ้องของโจทก์ว่าที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ก็โดยโจทก์ถือว่าจำเลยได้ขายขาดที่พิพาทให้โจทก์แล้วเช่นเดียวกัน มูลเหตุที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็คงอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ศาลได้พิพากษาชี้ขาดมาแล้ว ฟ้องของโจทก์ จึงเป็นฟ้องซ้ำ

พิพากษายืน

Share