แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 581 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เฉพาะอันตราโทษ เป็นจำคุก 3 เดือน และให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 2 ปี เป็นการแก้ไขมาก โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
การใช้ดุลพินิจในการลงโทษ ศาลอาจจะพิจารณาหลักเกณฑ์ที่ศาลเคยถือกำหนดในการวางโทษเพื่อเทียบเคียงหยั่งความหนักเบาของโทษได้ ศาลจึงย่อมจะนำสำนวนคดีอื่นมาประกอบการพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควร
ย่อยาว
คดีได้ความตามฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยมีฝิ่นกล้องสูบฝิ่นและเครื่องอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลจังหวัดนครปฐมพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พ.ร.บ. ฝิ่น พ.ศ. ๒๔๗๒ มาตรา ๘, ๓๔, ๕๓, ๖๖, ๖๙ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๔๘๑ ม. ๖ และ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๙๔ ม. ๖ ลดรับกึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้วคงให้จำคุกจำเลย ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๕๘๑ บาท ค่าปรับไม่ชำระจัดการประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ขอกลางริบ ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๙๕๖/๒๕๐๑
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกโทษจำหรือรอการกำหนดโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้ กับคดีอาญาแดงที่ ๕๕๕/๒๕๐๑ ของศาลจังหวัดนครปฐมที่ศาลอุทธรณ์เรียกมาประกอบการพิจารณา มีลักษณะและสภาพแห่งความผิดใกล้เคียงกันมาก และเห็นสมควรวางกำหนดโทษจำคุกในคดีนี้ ในระดับเดียวกับคดีอาญาแดงที่ ๕๕๕/๒๕๐๑ จึงพิพากษาแก้ศาลชั้นต้นเฉพาะโทษจำคุกว่า ให้จำคุก ๓ เดือน รับสดกึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงเหลือโทษจำคุก ๓ เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษไว้ภายใน ๒ ปี ตามมาตรา ๕๖ และ๕๑
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่มีสิทธิอ้างสำนวนอ้างสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๕๕๕/๒๕๐๑ ของศาลจังหวัดนครปฐม และศาลอุทธรณ์ไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกมาประกอบการวินิจฉัยได้ ภาวะของจำเลยและลักษณะคดีของเรื่องนี้กับคดีดังกล่าวก็แตกต่างกัน ไม่เป็นเหตุให้ใช้ดุลยพินิจลงโทษ อย่างเดียวกันได้ และการที่ศาลอุทธรณ์วางอัตราโทษใหม่ต่ำกว่าโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด ทั้งลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วรอการลงโทษให้ด้วย เท่ากับลดโทษซ้อนกัน ๒ หาเป็นการไม่ชอบ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้อัตรา โทษจำคุกโดยวางกำหนดโทษใหม่และรอการลงโทษให้แก่จำเลย จึงเป็นการแก้ไขมาก โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
ในข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๕๕๕/๒๕๐๑ มาประกอบวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ใช้ดุลยพินิจในการลงโทษ ศาลอาจจะพิจารณาหลักเกณฑ์ที่ศาลเคยถือกำหนดในการวางโทษเพื่อเทียบเคียงหยั่งความหนักเบาของโทษได้ จึงย่อมจะนำสำนวนคดีอื่นมาประกอบการพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควรและที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษที่ลงแก่จำเลย ๖ เดือนนั้นก็เป็นใช้ดุลยพินิจลงโทษตามความหนักเบาของโทษ มิใช่เป็นเรื่องปรานีลดโทษ ส่วนการลดโทษและรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์ได้อาศัยเหตุที่จำเลยรับสารภาพและจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน ซึ่งเป็นเหตุที่ทำได้ตามกฎหมาย
ส่วนที่โจทก์อ้างว่า คดีนี้กับคดีอาญาแดงที่ ๕๕๕/๒๕๐๑ แตกต่างกันนั้น ศาลฎีกาก็คงเห็นว่า ยังไม่เป็นเหตุที่สมควรแก้ไขดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์ในการวางโทษจำเลยในเรื่องนี้
พิพากษายืน