คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสร่วมกันออกเงินเช่าซื้อที่ดินในนามจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของคนละครึ่ง
แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือตั้งจำเลยเป็นตัวแทนเช่าซื้อที่ดิน (ซึ่งต้องทำเป็นหนังสือ) จำเลยก็มีหน้าที่ต้องคืนประโยชน์ให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวการเมื่อโจทก์เรียกร้อง จำเลยจะยกเอาเหตุการตั้งตัวแทนไม่ได้ทำเป็นหนังสือขึ้นอ้างหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 262/2493)
หนังสือซึ่งไม่มีข้อความแสดงถึงการระงับข้อพิพาท ไม่อาจถือได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดี(ในฐานะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ)ไม่ได้
บุตรนอกกฎหมายซึ่งบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรแล้วจะฟ้องบิดาซึ่งเป็นผู้บุพพการีมิได้เป็นคดีอุทลุมต้องห้ามแม้บุตรยังเป็นผู้เยาว์และมีผู้แทนโดยชอบธรรมผู้แทนโดยชอบธรรมก็ไม่มีอำนาจฟ้องแทนดุจเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เป็นสามีภริยากับจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนเกิดบุตรด้วยกัน 5 คน ยังเป็นผู้เยาว์ ซึ่งจำเลยได้จดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว โจทก์ให้จำเลยเช่าซื้อที่ดินจากกรมตำรวจ 1 แปลงแทนด้วยเงินของโจทก์ ต่อมาจำเลยไปติดพันหญิงอื่น โจทก์จำเลยจึงตกลงกันให้บุตรทั้งห้าเข้าถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยแต่รอโฉนดซึ่งแบ่งแยก เมื่อแบ่งแยกโฉนดเสร็จ จำเลยกลับใส่จำเลยเป็นให้โจทก์ หรือให้โจทก์และบุตรทั้งห้าถือกรรมสิทธิ์ ให้จำเลยเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 800 บาท

จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่พิพาทเป็นส่วนตัว และได้ให้ที่ดินอื่นแก่บุตรทั้งห้าเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูเพียงพอแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นกะประเด็นนำสืบ 2 ข้อ ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูเห็นว่าโจทก์จะดำเนินคดีที่ศาลนั้นไม่ได้ เมื่อพิจารณาเสร็จ ฟังว่าโจทก์ จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทคนละกึ่งการที่โจทก์ตัวการเรียกเอาผลประโยชน์จากจำเลยตัวแทน ไม่จำต้องมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ แต่เอกสารหมาย จ.46 ซึ่งจำเลยขอให้ใส่ชื่อบุตรในโฉนดที่พิพาท เป็นคำมั่นจะให้ทรัพย์สินตามมาตรา 526 เมื่อ มิได้จดทะเบียน จึงบังคับไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยโอนแบ่งที่พิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง คำขออื่นให้ยก

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของที่พิพาทคนละกึ่ง แต่เห็นว่าเอกสารหมาย จ.46 เป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ใช่คำมั่นจะให้ทรัพย์สิน กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 บุตรทั้งห้าโดยนางชลอในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยลงชื่อบุตรในโฉนดได้พิพากษาแก้ให้จำเลยเอาชื่อโจทก์ (บุตรทั้งห้า) ลงในโฉนดที่พิพาทถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย (เฉพาะส่วนของจำเลย)

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีหนังสือแต่งตั้งตัวแทนให้จำเลยเป็นผู้เช่าซื้อที่พิพาทแทน และตามหลักฐานการเช่าซื้อเห็นได้ชัดว่าจำเลยเป็นผู้เช่าซื้อนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในกรณีที่ตัวการเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากการที่ตัวแทนกระทำแม้การตั้งตัวแทนไม่มีหนังสือ ตัวแทนก็มีหน้าที่คืนประโยชน์ให้ตัวการตัวแทนจะยกเอาเหตุการตั้งตัวแทนไม่มีหนังสือมาอ้างหาได้ไม่ ตามแบบอย่างฎีกาที่ 262/2493 และฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ จำเลยต่างร่วมออกเงินค่าเช่าซื้อที่พิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง ข้อที่จำเลยฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.46 ไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าหนังสือนี้ไม่อาจถือได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851 เพราะไม่มีข้อความแสดงถึงการระงับข้อพิพาทอย่างใดเลย แม้โจทก์จำเลยจะได้มีการพูดจากตกลงประนีประนอมกันจริง แต่โจทก์ก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้

นอกจากนี้ คำฟ้องคดีนี้แม้จะถือว่านางชลอได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ด้วยก็ตาม ฟ้องในส่วนนี้ก็เป็นอุทลุม เพราะมีผลเป็นการฟ้องผู้บุพพการีศาลจะรับฟ้องไว้มิได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.46 เป็นคำมั่นจะให้ทรัพย์สินซึ่งไม่ได้จดทะเบียนตามมาตรา 526 หรือเป็นสัญญาซึ่งตกลงจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตามมาตรา 374 ทั้งไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยต่อไป

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share