แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
(1) การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าตนมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย นั้น ย่อมหมายความว่า สิทธิของโจทก์ก็คือ สิทธิที่จะรับมรดกของผู้ตายให้ตกทอดมายังตนตั้งแต่เจ้ามรดกตาย ดังนั้น แม้โจทก์จะขอเพียงให้ทำลายพินัยกรรม แต่หาได้ขอให้ศาลพิพากษาให้เอาทรัพย์ที่จำเลยโแย้งคืนมาเป็นของโจทก์ไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องแล้วว่า ก่อนตายเจ้ามรดกมีทรัพย์สินเป็นมรดกหลายอย่าง ทุกข์ของโจทก์ที่ตั้งข้อพิพาท ก็คือ กล่าวอ้างว่าที่ดิน 2 แปลงตามโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยตกทอดมาจากผู้ตาย แต่จำเลยเอาไปเสีย โดยอ้างว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ อย่างนี้แสดงว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างให้ปรากฎแล้วว่าได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โจทก์เสนอคดีต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55
(2) ทุกข์ของโจทก์ที่กล่าวมา ก็คือ การที่ไม่ได้ที่ดิน 2 แปลงนั้น จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 ประกอบตาราง (1) 1 ต้องคิดค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท การที่โจทก์ไม่ได้ขอเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 แปลงนั้น เป็นความผิดของโจทก์เอง จะเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์หาได้ไม่ (อ้างคำสั่งที่ 1559/2493) ส่วนจะเป็นการพิพากษาให้เกินคำขอหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2505)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นน้องนาย ซอๆตาย มีทรัพย์หลายอย่าง เช่น ที่ดิน ตำบลแพงพวย จังหวัดราชบุรี โฉนดที่ ๔๓๕๖, ๔๕๙๗ โจทก์มีสิทธิรับมรดก จำเลยทำหนังสือขึ้นเพื่อให้เป็นพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง แต่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วเอาไปอ้างรับมรดกของนายซอ เจ้าพนักงานที่ดินจึงใส่ชื่อจำเลยในโฉนดดังกล่าว และจำเลยยังนำหนังสือนี้มาอ้างในคดีแพ่งคำเลขที่ ๓๒๖/๒๕๐๐ ของศาลจังหวัดราชบุรีอีก ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมนี้เป็นโมฆะ
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่าพินัยกรรมชอบ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่จำต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และเห็นว่าเพียงแต่จำเลยมีหนังสือพินัยกรรมยังไม่มีข้อโต้แย้ง ยังไม่พอรับข้ออ้างและคำขอเป็นคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๕ จึงให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาในที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์อ้างในฟ้องว่า มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนายซอ ซึ่งหมายความว่า สิทธิของโจทก์ ก็คือ สิทธิที่จะรับมรดกของนายซอให้ตกทอดมายังโจทก์ตั้งแต่นายซอตาย การที่จำเลยอ้างพินัยกรรมมาโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ก็คือ โต้แย้งสิทธิที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์มรดกของนายซอที่ตกทอดมายังโจทก์นั่นเอง แต่โจทก์หาได้มีคำขอให้ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้ทรัพย์ที่จำเลยมาโต้แย้งเอาไปเป็นของจำเลยกลับคืนมาเป็นของโจทก์ไม่ ฟ้องโจทก์ก็บรรยายว่าก่อนตายนายซอมีทรัพย์สิน เป็นมรดกหลายอย่าง แต่ที่ดินโฉนดที่ ๔๓๕๖, ๔๕๙๗ ที่โจทก์อ้างถึงก็เป็นแต่ทรัพย์บางอย่างของนายซอเท่านั้น ทุกข์ของโจทก์ที่โจทก์ตั้งข้อพิพาทมาในคดีนี้ ก็คือ กล่าวอ้างว่าที่ดินตามโฉนด ๒ แปลง นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยตกทอดมาจากนายซอ แต่จำเลยเอาที่ดิน ๒ แปลงนั้นไปเสีย โดยจำเลยอ้างว่านายซอทำพินัยกรรมยกให้ แสดงว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างให้ปรากฏแล้วว่าได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของโจทก์ ๆ ย่อมเสนอคดีของโจทก์ต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๔ แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำลเยคืนที่ ๒
แปลงตามโฉนดนั้นให้โจทก์ก็ดี ศาลก็จำต้องรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณา
แต่อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีความเห็นต่อไปว่า ทุกข์ของโจทก์ที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคดีนี้ ก็คือ การที่ไม่ได้ที่ดิน ๒ แปลงนั้น จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๐ ประกอบด้วยตาราง ๑ (๑) ท้ายประมวลกฎหมายนั้น ศาลต้องคิดค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๒ แปลงนี้ก็ตาม ก็เป็นความผิดของโจทก์เอง ส่วนจะเป็นกรณีที่จะพิพากษาให้เกินคำขอได้หรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากการคิดค่าขึ้นศาลตามมาตรา ๑๕๐ โจทก์จะมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยแต่เฉพาะข้อโต้แย้งสิทธิอันเป็นแต่เพียงเหตุที่จะนำไปสู่การปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์โดยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้นหาได้ไม่ ดังศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยคำสั่งคำร้องที่ ๑๕๕๙/๒๔๙๓ คดีระหว่างร้อยเอกมนตรวงษ์ บุนนาค กับพวก โจทก์ หลวงชลพาหนะรักษ์ กับพวก จำเลย
ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์นั้นเสีย ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาเสียตามราคาทรัพย์ที่พิพาทตามโฉนด ๒ แปลงนั้นตามวิธีพิจารณาความ ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด แล้วดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ