แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ที่ดินของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่โอบล้อมปิดหน้าที่ดินของโจทก์และมารดาจะพังลงแม่น้ำเจ้าพระยาไปแล้วก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ยังคงสงวนสิทธิและครอบครองที่ดินส่วนนี้อยู่โดยการนำหินไปทิ้งเพื่อกันตลิ่งพังไว้เพื่อประโยชน์ที่จะสร้างเขื่อน ให้เรือเข้าเทียบท่าลำเลียงสินค้า ที่ดินของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่พังลงแม่น้ำเจ้าพระยาจึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
โจทก์สร้างบันไดบ้านของโจทก์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 และการที่ผู้แทนของจำเลยที่ 2 ไปรับรองต่อนายช่างรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดว่าเจ้าของไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์และที่ดินตกเป็นที่สาธารณ สมบัติของแผ่นดินแล้ว จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง และเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ชอบที่จะใช้สิทธิอันชอบด้วยกฎหมายทักท้วงจำเลยที่ 2 กรณีดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และมารดาเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๐ ตำบลบางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมามารดาโจทก์มอบอำนาจให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวในนามเดิม ที่ดินดังกล่าวติดแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันรังวัดจำเลยทั้งสองส่งตัวแทนมาระวังแนวเขตของตนแล้วตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ได้ลงชื่อรับรองแนวเขตที่โจทก์ชี้ไว้ส่วนตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ไม่ลงชื่อรับรองแนวเขต แต่ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ขอยับยั้งการรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ดังกล่าว อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกได้ทำหนังสือคัดค้านการรับรองแนวเขตของจำเลยที่ ๒ ว่าไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ ๑ ได้ขออนุญาตจำเลยที่ ๒ทิ้งหินรักษาแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ ไว้ แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ไม่เคยทิ้งหินรักษาแนวเขตไว้บริเวณหน้าที่ดินของโจทก์ซึ่งปลูกบ้านอยู่มีสภาพเป็นแม่น้ำมานานแล้ว ทั้งได้สร้างสะพานลงในแม่น้ำเพื่อใช้เป็นทางสัญจรทางเรือ ไม่เคยมีที่ดินของผู้อื่นปิดบังหน้าที่ดินและบ้านของโจทก์ ทั้งที่ดินของโจทก์ถูกน้ำเซาะพังไป ๙๓ ตารางวานอกจากนั้นจำเลยที่ ๑ คัดค้านการรับรองแนวเขตของจำเลยที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้นำเสาไม้ค้อปักตีด้วยเรือปั้นจั่นในแม่น้ำเจ้าพระยาในแนวที่ตรงกับเสาหลักเขตที่โจทก์ปักไว้แล้วนำเรือไปผูกปิด ขวางทางเข้าออกบริเวณหน้าบ้านโจทก์ ทำให้กระแสน้ำบริเวณหน้าบ้านโจทก์ไหลวนจนอาจเป็นอันตรายแก่โจทก์ได้ โจทก์ร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒แล้ว แต่จำเลยที่ ๒ กลับอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งหินเป็นแนวมาจดกับหลักเขตที่กรมที่ดินปักไว้ให้โจทก์ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่๑ ทำการคัดค้านการรับรองแนวเขตของจำเลยที่ ๒ เป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสองถอนเสาไม้ค้อที่ปักไว้ดังกล่าว และให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าใช้จ่ายในช่วงระยะเวลาที่โจทก์ทำการรังวัดจนสิ้นสุดการฟ้องตามที่ศาลจะเห็นสมควร
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินของโจทก์มิได้ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โจทก์นำรังวัดรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งคั่นระหว่างที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือกับแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยที่ ๑ ได้ขออนุญาตจำเลยที่ ๒ ทิ้งหินและอิฐเพื่อรักษาแนวเขตที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ส่วนที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดแนวเมื่อ ๕ ปีมาแล้ว โจทก์ได้ปลูกสร้างบ้านอีก ๑ หลัง รุกล้ำเข้าไปในที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๓ เมตร ตลอดแนว กับสร้างสะพานจากบ้านผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ปักเสาไม้ค้อในแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ มิได้ปิดบังหน้าบ้านหรือที่ดินโจทก์แต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์รื้อถอนบ้านส่วนที่ปลูกรุกเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยที่ ๑อีก และห้ามโจทก์ขัดขวางหรือรบกวนการรังวัดการสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ อีกต่อไป
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือคัดค้านต่อจำเลยที่ ๒ ว่าที่ดินที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้ขออนุญาตจำเลยที่ ๒ ทิ้งหินสงวนสิทธิไว้ จำเลยที่ ๒ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยที่ ๑ อ้าง จำเลยที่ ๒ จึงมีหนังสือยับยั้งการรับรองแนวเขตที่ดินที่โจทก์ขอรังวัดไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนจำเลยที่ ๑ นำเสาไม้ค้อไปปักและนำหินไปทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๒ เมื่อจำเลยที่ ๒ ตรวจพบก็ได้ให้ผู้รับจ้างจากจำเลยที่ ๑ หยุดการกระทำนั้นเสีย ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ว่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ของจำเลยที่ ๑ มิได้ปิดบังหน้าดินของโจทก์ด้านลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพราะได้พังลงกลายสภาพเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาไปหมดแล้ว และเจ้าของเดิมได้ละทิ้ง มิได้ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงมาเป็นเวลานานแล้วจึงตกเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน เจ้าของเดิมไม่มีสิทธิขายต่อให้บุคคลอื่น สัญญาซื้อขายของจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินแปลงนี้โดยไม่สุจริตและจดทะเบียนโดยไม่สุจริตเพราะซื้อที่ดินที่มีสภาพเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ เพิกถอนการคัดค้านการที่จำเลยที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๐ ของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ใช้ค่าเสียหาย ๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่น ๆ นอกจากนี้ให้ยกเสียให้ยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ ๒ กับพิพากษาให้โจทก์รื้อถอนสะพานไม้ของโจทก์ส่วนที่สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ของจำเลยที่ ๑ ห้ามโจทก์ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ของจำเลยที่ ๑ห้ามโจทก์ขัดขวางการรังวัดที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ ของจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของจำเลยที่ ๑ สมเหตุสมผลมีน้ำหนักมากกว่าฝ่ายโจทก์ น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ยังคงสงวนสิทธิโดยนำหินไปทิ้งกันตลิ่งพังไว้ และครอบครองที่ดินของจำเลยที่ ๑ ในส่วนที่พังลงแม่น้ำเจ้าพระยา จึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและเชื่อว่าบันไดบ้านของโจทก์ส่วนที่เลยล้ำออกไปทางด้านแม่น้ำเจ้าพระยาตามแผนที่วิวาท รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสองว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑สำหรับฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ว่าการที่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการรับรองแนวเขตของจำเลยที่ ๒ ในการรังวัดแบ่งแยกโฉนดของโจทก์ ทำให้ทางราชการไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้กับโจทก์ไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์นั้น ดังได้วินิจฉัยมาแล้วว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๒๕๕ จำเลยที่ ๑ยังคงถือครองสงวนสิทธิโดยนำหินไปทิ้งกันตลิ่งพังไว้ ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกโฉนดในนามเดิมอ้างสิทธิว่าที่ดินติดแม่น้ำเจ้าพระยาโดยผู้แทนของจำเลยที่ ๒ รับรองไปนั้นไม่เป็นความจริงและไม่เป็นการถูกต้อง และการที่ผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ไปรับรองต่อนายช่างรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการว่าเจ้าของไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ และที่ดินตกเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความจริงและเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องจำเลยที่ ๑ ชอบที่จะใช้สิทธิอันชอบด้วยกฎหมายทักท้วงจำเลยที่ ๒ส่วนที่จำเลยที่ ๒ เมื่อได้รับการทักท้วงจากจำเลยที่ ๑ แล้ว ก็มีสิทธิที่ใช้ดุลพินิจว่าสมควรที่จะยกเลิกหรือระงับยับยั้งที่ผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ได้รับรองแนวเขตไว้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้เพิกถอนคำคัดค้านของจำเลยที่ ๑ ที่คัดค้านการรับรองแนวเขตของจำเลยที่ ๒ และคำขอให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.