แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นอกจากโจทก์จะฎีกากล่าวอ้างว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้ว โจทก์ยังฎีกายกเหตุที่ไม่เห็นด้วยกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ด้วย เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้ว จึงเป็นฎีกาที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง, 100/2 จำคุก 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 67, 100/2 ลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท และรอการลงโทษ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถยนต์ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง, 100/2, 102 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67, 100/2 จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมความประพฤติจำเลยไว้ ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนด 1 ปี กับให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระเงินค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คืนธนบัตร โทรศัพท์เคลื่อนที่และรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม
คำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย และยึดเมทแอมเฟตามีน 15 เม็ด ธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 2 ฉบับ ฉบับละ 500 บาท 4 ฉบับ โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 0 1539 4442 และรถยนต์หมายเลขทะเบียน กข 133 ภูเก็ต เป็นของกลาง คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง, 100/2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67, 100/2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษและคุมความประพฤติไว้ ซึ่งในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า เป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาว่า พยานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ในความผิดฐานนี้มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน สำหรับปัญหาข้อนี้เห็นควรวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยก่อนว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า นอกจากโจทก์จะฎีกากล่าวอ้างว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้ว โจทก์ยังได้ฎีกายกเหตุที่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8 อีกด้วย เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้ว จึงเป็นฎีกาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันถึงการสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แล้วร่วมกับพวกวางแผนให้สายลับโทรศัพท์ติดต่อล่อซื้อ ภายหลังเมื่อสายลับให้สัญญาณว่าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว และพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกติดตามเข้าไปตรวจค้นตัวจำเลย ก็สามารถยึดธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อ เมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ติดต่อกับสายลับได้เป็นของกลาง โดยก่อนมอบธนบัตรให้สายลับไปใช้ในการล่อซื้อ ได้นำธนบัตรไปถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เป็นการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนสมเหตุผล ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน พยานโจทก์ทั้งสองติดตามสายลับไปโดยตลอดและซุ่มดูอยู่ใกล้ ๆ เชื่อว่ามีโอกาสเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองและแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ จุดนัดหมายส่งมอบเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่บริเวณริมถนนหลังพรศิริอพาร์ตเมนต์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปากซอยอิ่มจิตรมากนัก หลังจากจำเลยและสายลับส่งมอบสิ่งของให้แก่กันแล้ว จำเลยก็เดินไปขึ้นรถยนต์ของกลางและขับออกไปโดยทันที ดังนั้น ที่พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกไม่เข้าจับกุมจำเลยในขณะที่ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ และตามไปจับกุมจำเลยได้ที่ปากซอยอิ่มจิตร จึงไม่มีข้อพิรุธน่าสงสัยแต่อย่างใด ทั้งจำเลยยังเบิกความรับว่า ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมขณะขับรถยนต์ไปถึงบริเวณปากซอยอิ่มจิตร และเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบที่ตัวจำเลยเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เหตุที่จำเลยถูกจับกุมเนื่องจากไม่ยอมไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนให้เจ้าพนักงานตำรวจที่จับกุมจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ เพียงปากเดียว ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้น่าเชื่อถือ ทั้งเหตุตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้ไม่ใช่เหตุร้ายแรงถึงขนาดที่พยานโจทก์ทั้งสองจะต้องสมคบกันมาเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษหรือแต่งเรื่องขึ้นให้สลับซับซ้อนเพื่อเอาผิดกับจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักแก่การรับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อจริงตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้มา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อและต่อมาจำเลยถูกจับกุมได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด จำเลยจึงมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 15 เม็ด ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองจำนวน 5 เม็ด จึงไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีเนื่องจากความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้อีก เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าข้อมูลที่จำเลยให้ตามหนังสือของพันตำรวจโทธีราณัติ ไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จำเลยไม่ควรได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/1 (ที่ถูก มาตรา 100/2) เห็นว่า ตามหนังสือและบันทึกการจับกุม ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังถูกจับกุมจำเลยเป็นสายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนให้เจ้าพนักงานตำรวจ และเป็นเหตุให้สามารถจับกุมนายเสกสรรหรือโอ และนายจิระพงศ์หรือพงค์ พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด มาดำเนินคดีได้ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนับว่าจำเลยเป็นผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ชอบที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง,100/2 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 ปี ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8