แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยขายฝากเรือนพิพาท แต่เอกสารยินยอมอนุญาตให้ขายฝากมิได้ระบุถึงกำหนดระยะเวลาแห่งการขายฝากไว้จำเลยไปทำหนังสือสัญญาขายฝากมีกำหนด 1 ปีจึงมิใช่เป็นการกระทำเกินขอบเขตหนังสือยินยอมอนุญาตและการกำหนดระยะเวลาขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 495 ก็อนุญาตให้คู่กรณีตกลงกันได้เป็นแต่ไม่ให้กำหนดระยะเวลาเกินสิบปีหรือสามปีตามประเภทของทรัพย์เท่านั้น ฉะนั้น การกำหนดระยะเวลาขายฝากในกรณีนี้จึงไม่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือตกเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีจำเลยที่ 1มาประมาณ 17 ปีแล้ว แต่มิได้จดทะเบียนสมรส เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเรือน 1 หลังราคา 30,000 บาท เมื่อ พ.ศ. 2501 โจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำเรือนหลังนี้ไปจำนองกับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 10,000บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2504 จำเลยที่ 1กับที่ 2 ตกลงทำสัญญาจำนองกันใหม่โดยเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระ 10 เดือน เป็นเงิน 3,000 บาท ทบเข้าเป็นต้นเงินด้วย โจทก์ก็ยินยอมอนุญาตให้จำเลยทั้งสองทำสัญญาจำนองกันได้ ครั้นเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2505 โจทก์ไปขอดูสัญญาที่อำเภอ กลับปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายฝากเรือนให้แก่จำเลยที่ 2 หาใช่เป็นการจำนองไม่สัญญาขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ หรือหากสัญญาขายฝากผูกพันกรรมสิทธิ์ส่วนของจำเลยที่ 1 ก็ให้แบ่งส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน 15,000 บาท ให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ต่อสู้และฟ้องแย้งว่า เมื่อ พ.ศ. 2501 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงจำนองบ้านไว้กับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 10,000 บาทดอกเบี้ยชั่งละ 2 บาทต่อเดือน เมื่อจำนองแล้ว โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยและผ่อนชำระต้นเงินให้บ้าง ยังค้างต้นเงินอยู่ 7,000 บาท โจทก์กับจำเลยที่ 1 ขอกู้เงินจากจำเลยที่ 2 อีก 6,000 บาท และเปลี่ยนทำเป็นสัญญาขายฝากต่อกัน ซึ่งโจทก์ยินยอมมอบอำนาจเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาให้เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 13,000 บาท ทั้งได้จดทะเบียนขายฝากต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2504 ด้วย กำหนดไถ่ถอนภายใน 1ปี แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ขอเช่าบ้านที่ขายฝากนั้น ในระหว่างระยะเวลาแห่งการฝาก โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินไถ่ถอนการขายฝากบ้านจึงหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2505 จำเลยที่ 2จึงบอกเลิกสัญญาโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้คืนบ้านให้จำเลยที่ 2 เพียง 1 คูหา ส่วนอีก 2 คูหามีผู้เช่าอยู่ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ขัดขวางไม่ให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าแก่จำเลยที่ 2 จึงฟ้องแย้งขอแสดงว่าบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ห้ามโจทก์กับบริวารมิให้เกี่ยวข้อง กับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เก็บค่าเช่าบ้าน 2 คูหาในอัตราเดือนละ 160 บาท นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2505 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะคืน 2 คูหาให้แก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ลงชื่อในหนังสือยินยอมโดยเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะทำการจำนองเท่านั้น ตามหนังสือยินยอมที่โจทก์หลงลงชื่อให้จำเลยที่ 1 ไปนั้นมีข้อความว่า “อนุญาตให้ขายฝาก” หาได้อนุญาตให้ขายฝากเพียงกำหนด 1 ปี ตามสัญญาขายฝากท้ายฟ้องไม่ แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้รับความยินยอมให้ทำนิติกรรมขายฝาก นิติกรรมนั้นไม่ตรงกับที่อนุญาตไว้ เพราะทำไปโดยขัดต่อเจตนาของโจทก์ นิติกรรมขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้เช่าเรือนพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก็ไม่เป็นความจริง
ชั้นพิจารณา โจทก์และจำเลยที่ 2 ต่างไม่ติดใจสืบพยานบุคคล
ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไปตามประเด็นที่ตั้งไว้ว่า (1) โจทก์กับจำเลยที่ 1 มิใช่สามีภรรยากันตามกฎหมาย และโจทก์มิได้นำสืบว่ามีส่วนเป็นเจ้าของในฐานะเป็นหุ้นส่วน จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วยกึ่งหนึ่ง (2) จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมขายฝากกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จะขอเพิกถอนไม่ได้ (3) โจทก์ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ตามฟ้องแย้ง พิพากษายกฟ้อง ส่วนเรือนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ห้ามโจทก์กับบริวารไม่ให้เข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เรือนพิพาทโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่กึ่งหนึ่ง โจทก์รับว่าได้ลงชื่อในหนังสือยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขายฝากเรือนที่พิพาท สัญญาขายฝากรายนี้หาเป็นโมฆะไม่ คงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.7 มีข้อความว่า “โจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขายฝากเรือนพิพาท” แต่เอกสารนี้มิได้ระบุถึงกำหนดระยะเวลาแห่งการขายฝากไว้ จำเลยที่ 1 ไปทำหนังสือสัญญาขายฝากมีกำหนด 1 ปี จึงมิใช่เป็นการกระทำเกินขอบเขตหนังสือยินยอมอนุญาต และการกำหนดระยะเวลาขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 495 ก็อนุญาตให้คู่กรณีตกลงกันได้ เป็นแต่ไม่ให้กำหนดระยะเวลาเกินสิบปีหรือสามปีตามประเภทของทรัพย์เท่านั้น ฉะนั้น การกำหนดระยะเวลาขายฝากในกรณีนี้จึงไม่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือตกเป็นโมฆะ