คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4772/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมรับมรดกของม. คือที่นาตาม ส.ค.1 และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่นาแปลงนี้จำเลยให้การว่า ม. ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จึงมีประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ ศาลเชื่อ ว่า ม. ได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองมาย่อมได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้ที่ดินพิพาทโดยสัญญาประนีประนอมตามเอกสารหมาย จ.8(ตรงกับหมาย จ.14 ในคดีก่อน)ในคดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิ์ครอบครองในที่ดินพิพาทอันเป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อนซึ่งศาลต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์โดยอาศัยเอกสารดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยก็เป็นคู่ความรายเดียวกัน คดีก่อนกับคดีนี้ก็มีประเด็นข้อพิพาทโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน กรณีเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายทอง นางมาก เป็นสามีภรรยากัน ทั้งนายทองนางมาก ได้ถึงแก่กรรมแล้ว นายทอง นางมากไม่มีบุตรด้วยกัน โจทก์เป็นหลานนางมาก ส่วนจำเลยเป็นหลานนายทอง
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2515 จำเลยได้ขอรับมรดกที่ดิน ส.ค.1เลขที่ 143, 144, 145, 146, 147 รวม 5 แปลง โดยจำเลยแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ขอรับมรดกนายทองแทนที่นางเลี้ยงมารดาซึ่งถึงแก่กรรมโจทก์ได้คัดค้านเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2515 ต่อมาจำเลยได้ยื่นขอเจ้าพนักงานให้ออก น.ส.3 ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 147 โจทก์ก็คัดค้านเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2515 โดยคัดค้านว่านายทองไม่ใช่เจ้ามรดกเพราะถึงแก่กรรมก่อนนางมาก เมื่อนายทองถึงแก่กรรม มรดกย่อมตกแก่นางมาก โจทก์จึงขอรับมรดกนางมากแทนที่นางแจ้งมารดาซึ่งถึงแก่กรรมเจ้าหน้าที่สั่งให้โจทก์ฟ้องร้องต่อศาลภายใน 60 วัน นับแต่วันที่10 กรกฎาคม 2515 ต่อมาวันที่ 19 สิงหาคม 2515 โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยตกลงให้ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 144 (นามาบจาน) ที่ดินที่ 145 (ที่บ้าน) ที่ดินเลขที่ 146 (นาลาว) กับยุ้งในที่ดินไม่มี ส.ค.1 เป็นของจำเลย ส่วนที่ดินบางส่วนของที่ดิน ส.ค.1เลขที่ 147 เป็นของโจทก์ และให้ที่ดินเลขที่ 147 บางส่วนตามแผนที่ท้ายคำฟ้องนอกเส้นสีแดงเป็นของนางสมใจ จำเลยทำผิดข้อตกลงประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทื ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 513/2521 หมายเลขแดงที่ 60/2522 ของศาลจังหวัดนครราชสีมาศาลชั้นต้นฟังว่านางมากทำพินัยกรรมให้จำเลย และพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และที่สุดศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนคดีดังกล่าวโจทก์ได้ยื่นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลแต่ไม่ได้เบิกความถึง โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ การที่จำเลยขัดขวางนายโหมดไม่ให้เข้าทำงานเป็นการละเมิดโจทก์ โจทก์เสียหายไม่สามารถทำนาได้ ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และห้ามเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทของโจทก์ ให้จำเลยเพิกถอนการอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท หากไม่กระทำให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่ได้ให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดิน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย กับบังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ชำระค่าเสียหายทุกปี ปีละ 1,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์วกวน ฟุ่มเฟือย ไม่ชัดแจ้งเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ควรรับไว้พิจารณา ฟ้องโจทก์ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 513/2521 หมายเลขแดงที่ 60/2525 ของศาลจังหวัดนครราชสีมาระหว่าง นายสมมุ่ง มงคลชาติ โจทก์ นายแฉล้ม จอสูงเนิน จำเลย ซึ่งคดีดังกล่าวมีประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย คดีดังกล่าวโจทก์ชอบจะอ้างสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ตั้งแต่แรกมาแล้ว แต่ไม่กระทำ โจทก์ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ฟ้องก็ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ไม่เสียหาย เพราะที่ดินไม่ใช่ของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 600 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 60/2522 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลฎีกาพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4588/2528หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าโจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมรับมรดกของนางมาก ภูมิโคกรักษ์ คือที่นาตาม ส.ค.1 หนึ่งแปลงเนื้อที่ 7 ไร่เศษ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้จำเลยให้การว่านางมากได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้จำเลยในคดีก่อนจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์เคยไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอด่านขุนทดแล้ว ระหว่างทำการสอบสวนได้มีการตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางมากโดยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์และนางสมใจ ส่วนที่ดินแปลงอื่นตกลงให้เป็นของจำเลยกับนางทิมภรรยา และได้ทำบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.14 ว่า จำเลยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อไปนั้น โจทก์ไม่ได้เบิกความถึงเอกสารฉบับนี้และจำเลยก็ไม่ได้เซ็นชื่อในบันทึกดังกล่าวจะฟังว่าจำเลยร่วมตกลงด้วยไม่ได้ เอกสารหมาย จ.14 มิใช่ข้อบ่งชี้ว่านางมากไม่ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้จำเลยหรือพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.1 เป็นพินัยกรรมปลอม ศาลฎีกาเชื่อว่านางมากได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและจำเลยเป็นผู้ครอบครองมา จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้ที่ดินพิพาทโดยสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7ซึ่งเป็นภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.14 ในคดีก่อนและตรงกับเอกสารหมาย จ.8ในคดีนี้ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้ว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท อันเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีก่อน ซึ่งศาลต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์โดยอาศัยเอกสารดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยก็เป็นคู่ความรายเดียวกัน ดังนั้น คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148…”
พิพากษายืน.

Share