คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(12),162,165,167 นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้านจะเท่ากับรับว่า คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยสาร ส.บ.01848 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง คือขับด้วยความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนดและวิ่งล้ำเส้นกึ่งกลางถนนชนรถยนต์ ก.ท.ว.7035 ซึ่งสวนทางมาเป็นเหตุให้โจทก์ผู้โดยสารในรถยนต์ ก.ท.ว.7035 บาดเจ็บ ต้องทนทุกข์เวทนากล้าเป็นเวลา 10 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พ.ร.บ. จราจรทางบก 2477 มาตรา 9 ศาลชั้นต้นสั่งไต่สวนมูลฟ้อง ครั้นถึงวันนัดเห็นว่า กรณีนี้เป็นกรณีเดียวกับคดีอาญาดำ 799/06 พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรีโจทก์ นายบุญช่วย จำเลย จึงประทับฟ้องหมายเรียกจำเลยแก้คดี

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ทำคำพิพากษารวมกับคดีอาญาดำที่ 799/2506 ลงโทษจำเลยตามมาตรา 300 จำคุก 6 เดือน ยกฟ้องนายบุญช่วยจำเลยคดีดังกล่าว

โจทก์และจำเลยคดีนี้อุทธรณ์โดยเฉพาะจำเลยอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโดยไม่มีการไต่สวนมูลฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า นายสมบูรณ์จำเลยผิดมาตรา 390 จำคุก15 วัน ต้องขับพอแก่โทษแล้ว ปล่อยตัวไป นอกนั้นยืน

จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นบันทึกและสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า “นัดไต่สวนมูลฟ้อง” คู่ความมาศาล กรณีนี้เป็นกรณีเดียวกับคดีอาญาดำ 799/06 พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรีโจทก์ นายบุญช่วยจำเลยจึงประทับฟ้อง หมายเรียกจำเลยแก้คดีต่อไป” นั้น เห็นว่า คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ กฎหมายบัญญัติให้ศาลดำเนินกระบวนไต่สวนเพื่อวินิจฉัยมูลคดีก่อนประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(12), 162, 165, 167 อันเป็นวิธีการป้องกันการแกล้งบีบบังคับโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่จะนำความเดือนร้อนมาสู่ราษฎรด้วยกันเองโดยไม่จำเป็น จึงเป็นบทบัญญัติเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งไว้ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้

และเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้

และเห็นว่า ถ้าจำเลยไม่ให้การรับสารภาพศาลก็จะประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนหาได้ไม่ ที่จำเลยไม่ค้านจะเท่ากับจำเลยรับว่าคดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยคดีมีมูลตามที่ศาลได้ไต่สวนแล้ว

และเห็นว่าแม้จะเป็นผลร้ายแก่จำเลย ถ้าจำเลยทำผิดจริงก็เป็นการสมควรที่จำเลยจะได้รับผลร้ายนั้น เพื่อรักษาระบบการไต่สวนให้ดำรงอยู่ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยนี้ โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไป

Share