แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (12), 162, 165, 167 นั้น เป็นเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นส่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้าน จะเท่ากับรับว่า คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้อง และพิจารณาพิพากษาต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยสาร ส.บ.๐๑๘๔๘ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง คือขับด้วยความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนดและวิ่งล้ำเส้นกึ่งกลางถนนชนรถยนต์ ก.ท.ว.๗๐๓๕ ซึ่งสวนทางมา เป็นเหตุให้โจทก์ผู้โดยสารในรถยนต์ ก.ท.ว.๗๐๓๕ บาดเจ็บต้องทนทุกข์เวทนากล้าเป็นเวลา ๑๐ วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐, ๓๙๐ พ.ร.บ.จราจรทางบก ๒๔๗๗ มาตรา ๙
ศาลชั้นต้นสั่งไต่สวนมูลฟ้อง ครั้นถึงวันนัดเห็นว่า กรณีนี้เป็นกรณีเดียวกับคดีอาญาดำ ๗๙๙/๐๖ พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรีโจทก์ นายบุญช่วย จำเลย จึงประทับฟ้องหมายเรียกจำเลยแก้คดี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ทำคำพิพากษารวมกับคดีอาญาดำที่ ๗๙๙/๒๕๐๖ ลงโทษจำเลยตารมาตรา ๓๐๐ จำคุก ๖ เดือน ยกฟ้องนายบุญช่วย จำเลยคดีดังกล่าว
โจทก์และจำเลยคดีนี้อุทธรณ์โดยเฉพาะจำเลยอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโดยไม่มีการไต่สวนมูลฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า นายสมบูรณ์จำเลยผิดมาตรา ๓๙๐ จำคุก ๑๕ ต้องขังพอแก่โทษแล้ว ปล่อยตัวไป นอกนั้นยืน
จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นบันทึกและสั่งใน + กระบวนพิจารณาว่า “นัดไต่สวนมูลฟ้อง คู่ความมาศาล กรณีนี้เป็นกรณีเดียวกับ + อาญาดำ ๗๙๙/๐๖ พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรีโจทก์ นายบุญช่วย จำเลย จึงประทับฟ้อง + เรียกจำเลยแก้คดีต่อไป” นั้นเห็นว่า คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ กฎหมายบัญญัติให้ศาล + กระบวนไต่สวนเพื่อวินิจฉัยมูลคดีก่อนประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒ (๑๒), ๑๖๒, ๑๖๕, ๑๖๗ อันเป็นวิธีการป้องกันการแกล้งบีบบังคับโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่จะนำความเดือดร้อนมาสู่ราษฎรด้วยกันเองโดยไม่จำเป็น จึงเป็นบทบัญญัติเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งไว้ ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้
และเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้
และเห็นว่า ถ้าจำเลยไม่ให้การรับสารภาพศาลก็จะประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนหาได้ไม่ ที่จำเลยไม่ค้านจะเท่ากับจำเลยรับว่าคดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยคดีมีมูลตามที่ศาลได้ไต่สวนแล้ว
และเห็นว่า แม้จะเป็นผลร้ายแก่จำเลยถ้าจำเลยทำผิดจริงก็เป็นการสมควรที่จำเลยจะได้รับผลร้ายนั้น เพื่อรักษาระบบการไต่สวนให้ดำรงอยู่ จึงพิพากษายกคำพิพากษา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยนี้ โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไป