คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4766/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยนำภาพถ่านที่ม. มอบให้มาตัดให้พอดีกับภาพถ่ายในบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงของน.แล้วนำภาพถ่ายที่ตัดแล้วปิดทับภาพถ่ายของน. ที่ติดอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนของน. แล้วถ่ายภาพบัตรและนำภาพถ่ายอัดพลาสติกมอบให้ม.ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อให้ผู้พบเห็นหลงเชื่อว่าภาพถ่ายของม. ในบัตรประชาชนที่ถ่ายเอกสารมาเป็นภาพถ่ายของน.โดยมีวันเดือนปีเกิดและภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในบัตรนั้นเป็นบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร แม้บัตรประชาชนที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นเพียงภาพถ่ายเอกสารแต่การกระทำของจำเลยมีลักษณะเพื่อการใช้อย่างต้นฉบับบัตรประจำตัวประชาชนฉบับที่แท้จริงจึงเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา1(8) คดีที่คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายหากศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ปลอมเอกสารราชการบัตรประจำตัวประชาชน โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนชื่อนายนพพล สังข์ทองเกิดวันที่ 13 มีนาคม 2504 อายุ 26 ปี เลขที่ 1 ตร 5-009234อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ซึ่งสำนักงานทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชนกระทรวงมหาดไทยได้ออกให้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2530 บัตรหมดอายุวันที่ 28 มิถุนายน 2536 มานำเอาภาพถ่ายของนายเมาอี (ไม่มีนามสกุล) ติดลงไปในบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวแทนภาพถ่ายของนายนพดลแล้วนำไปถ่ายเอกสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เข้าเครื่องตัดกระดาษและเข้าเครื่องเคลือบบัตรเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่านายเมาอีคือนายนพดลว่าเป็นผู้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการปลอมเอกสารราชการขึ้นทั้งฉบับ โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายนพดล สำนักงานทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 32, 33 ริบของกลางคือบัตรประจำตัวประชาชนปลอมของนายนพดลและนายบุญเทียมเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อแคนนอน 1 เครื่อง เครื่องเคลือบบัตรยี่ห้อซีเอมพี 1 เครื่อง เครื่องตัดกระดาษยี่ห้อโรต้าทิม1 เครื่อง กรรไกร 1 อัน และคืนธนบัตรฉบับละ 500 บาท ของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 จำคุก 1 ปี คืนธนบัตรฉบับละ 500 บาท แก่เจ้าของของกลางอื่นนอกจากนั้นให้ริบ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายมีเพียงข้อเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดในบัตรประจำตัวประชาชนเอกสารหมาย จ.3 เพียงแต่จำเลยนำเอาภาพถ่ายปิดลงไปแทนแล้วถ่ายเอกสารและนำไปเคลือบพลาสติกเท่านั้น ทั้งจำเลยไม่ได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข แผนผังหรือแผนแบบอย่างอื่นอันจะถือว่าเป็นเอกสารตามคำนิยมของกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร เห็นว่าข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยเป็นผู้นำภาพถ่ายที่นายเมาอีมอบให้มาตัดให้พอดีกับถ่ายภาพในบัตรประจำตัวประชาชนของนายนพดล สังข์ทอง ที่แท้จริงตามเอกสารหมาย จ.3 แล้วนำภาพถ่ายที่ตัดแล้วปิดทับภาพถ่ายของนายนพดลที่ติดอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนของนายนพดลดังกล่าว แล้วถ่ายภาพบัตรและนำภาพถ่ายดังกล่าวอัดพลาสติกมอบให้นายเมาอีตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.2 โดยคิดค่าทำ15 บาท ข้อเท็จจริงดังกล่าวมา ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้พบเห็นบัตรประจำตัวประชาชนเอกสารหมาย จ.2 หลงเชื่อว่าภาพถ่ายของนายเมาอีในบัตรประชาชนเอกสารหมาย จ.2ที่ถ่ายเอกสารมาเป็นภาพถ่ายของนายนพดล โดยมีวันเดือนปีเกิดและภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในบัตรดังกล่าว เป็นบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริง จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานสำนักทะเบียนบัตรประชาชนกระทรวงมหาดไทยได้ทำขึ้น จึงเป็นเอกสารราชการตามนิยามของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(8) แม้บัตรประชาชนที่จำเลยทำปลอมขึ้นมาจะเป็นเพียงภาพถ่ายเอกสาร แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวมีลักษณะเพื่อการใช้อย่างบัตรประจำตัวประชาชนฉบับต้นฉบับที่แท้จริง จึงเป็นเอกสารราชการ จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยนั้นคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกอย่างไรก็ดี แม้จะเป็นคดีที่คู่ความฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายหากศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นหญิง อายุ 65 ปี ไม่ปรากฏจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเงินที่จำเลยได้รับมีจำนวนเพียง 15 บาทสมควรรอการลงโทษจำเลยโดยให้ลงโทษปรับไว้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 4,000 บาทอีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share