แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดเนื่องจากประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในการตรวจสอบหลักฐานต่างๆให้ถูกต้องในขณะที่ ว. จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทโดยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นเหตุให้ ว. นำที่ดินพิพาทมาขายฝากให้โจทก์ทั้งสี่ต่อมาเจ้าของที่ดินพิพาทได้ฟ้อง ว.โจทก์ที่2และที่4กับจำเลยที่3และที่4ขอให้เพิกถอนการขายฝากและศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดฐานละเมิดมิได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่เกี่ยวกับเรื่องนิติกรรมหรือสัญญาแม้โจทก์ที่1และที่3จะมิได้มีชื่อเป็นผู้รับซื้อฝากในสารบัญจดทะเบียนโจทก์ที่1และที่3ก็มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยที่4และที่5ในคดีที่เจ้าของที่ดินพิพาทฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากหรือจำเลยที่4และที่3ในคดีนี้ได้ฎีกาขอให้ตนเองไม่ต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้แต่จำเลยที่2และที่3ในคดีดังกล่าวหรือโจทก์ที่2และที่4ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้วซึ่งฟังได้ว่าบุคคลใดบ้างมีส่วนกระทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์คดีจึงเริ่มนับอายุความ จำเลยที่1ถึงที่3เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้แทนของจำเลยที่4ปฏิบัติราชการในหน้าที่โดยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่4โดยมิได้ตรวจบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจและถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจเก็บไว้ขณะจดทะเบียนนิติกรรมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า โจทก์ ที่ 1 เป็น ผู้จัดการมรดกของ นาย จรัญ เจนวาณิชย์ ตาม คำสั่งศาล ส่วน จำเลย ที่ 1 ที่ 2และ ที่ 3 เป็น เจ้าพนักงาน ที่ดิน และ เป็น ข้าราชการ อยู่ ใน สังกัดและ ใต้ บังคับบัญชา ของ จำเลย ที่ 4 เมื่อ ประมาณ ต้น เดือน มิถุนายน 2522นางสาว วราสภีหรือวรารัตน์ สร้างสมวงศ์ กับพวก ได้ หลอกลวง เอา โฉนด ที่ดิน เลขที่ 79183 และ 79184 ตำบล หัวหมาก (หัวหมากใต้) อำเภอ บางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่ง มี นาย ปริทัศน์ ศุกรีเขตร์ และ นางสาว นภามาศ ศุกรีเขตร์ เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ไป จาก นาง ประเทือง ศุกรีเขตร์ แล้ว นางสาว วราสภี กับพวก ได้ ปลอม หนังสือมอบอำนาจ ของ นาย ปริทัศน์และนางสาวนภามาศ ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2522 รวม สอง ฉบับ ซึ่ง เป็น หนังสือมอบอำนาจ ให้นางสาว ปิติกาญจน์ ศุกรีเขตร์ ทำการ จดทะเบียน นิติกรรม ขาย ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ให้ แก่ นางสาว วราสภี โดย การ ปลอม ลายมือชื่อ ของ นาย ปริทัศน์ นางสาว นภามาศและนางสาวปิติกาญจน์ ต่อมา นางสาว วราสภี กับพวก ได้ นำ โฉนด ที่ดิน เลขที่ 79183 และ 79184พร้อม ทั้ง หนังสือมอบอำนาจ ปลอม ไป ให้ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 จดทะเบียนนิติกรรม ขาย และ โอน กรรมสิทธิ์ ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ให้ แก่ นางสาว วราสภี ขณะ นั้น จำเลย ที่ 1 รับ ราชการ ใน ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ที่ดิน สำนักงานที่ดิน กรุงเทพมหานคร เขต 3 บางกะปิ มี หน้าที่ ต้อง ตรวจสอบ ลายมือชื่อ ของ นาย ปริทัศน์และนางสาวนภามาศ ผู้มอบอำนาจ ใน หนังสือมอบอำนาจ กับ ลายมือชื่อ ที่ แท้จริง ที่ มี อยู่ ณ สำนักงาน ที่ดินพร้อม ทั้ง ตรวจสอบ บัตรประจำตัวประชาชน ของ คู่สัญญา ตลอดจน ผู้มอบอำนาจและ ผู้รับมอบอำนาจ ตาม ระเบียบ ด้วย ส่วน จำเลย ที่ 2 รับ ราชการ เป็นหัวหน้า สำนักงาน ที่ดิน กรุงเทพมหานคร เขต 4 บาง กะ ปิ มี หน้าที่สอบสวน และ ตรวจสอบ ข้อมูล และ เอกสาร ต่าง ๆ ตลอดจน ลายมือชื่อของ นาย ปริทัศน์ นางสาวนภามาศ และ บัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ ผู้รับมอบอำนาจ หลังจาก จำเลย ที่ 1 ทำการ สอบสวน และ ตรวจสอบ แล้ว อีก ครั้ง สำหรับ จำเลย ที่ 3 รับ ราชการ เป็น ผู้ช่วยหัวหน้าเขต สำนักงาน ที่ดิน กรุงเทพมหานคร เขต 4 บาง กะ ปิ มี หน้าที่ต้อง ตรวจสอบ ลายมือชื่อ ของ ผู้มอบอำนาจ พร้อม ทั้ง ตรวจสอบ และ เรียก ดูบัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ ตาม ระเบียบ อีก ครั้ง ก่อน จะ รับ จดทะเบียน นิติกรรม ขาย ที่ดิน ให้ แก่ นางสาว วราสภี แต่ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 4 ตรวจสอบ ลายมือชื่อ ของ นาย ปริทัศน์ และ นางสาว นภามาศ โดย มิได้ ใช้ ความระมัดระวัง ให้ เพียงพอ ทั้ง ๆ ที่ ลายมือชื่อ ของ ผู้มอบอำนาจ ใน หนังสือมอบอำนาจ ดังกล่าว แตกต่าง กับลายมือชื่อ ที่ แท้จริง และ มิได้ ตรวจสอบ และ เรียก ดู บัตรประจำตัวประชาชนของ นางสาว ปิติกาญจน์ ผู้รับมอบอำนาจ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3กลับ ดำเนินการ จดทะเบียน นิติกรรม ขาย ที่ดิน ให้ แก่ นางสาว วราสภี ครั้น นางสาว วราสภี ได้ นำ เอา โฉนด ที่ดิน เลขที่ 79183 และ 79184ที่ ได้รับ โอน กรรมสิทธิ์ มา ดังกล่าว ไป ฉ้อโกง นาย จรัญ และ โจทก์ ที่ 2ถึง ที่ 4 โดย นำ ที่ดิน ดังกล่าว มา เสนอ ขายฝาก ใน ราคา 940,000 บาทกำหนด ไถ่ถอน ภายใน 1 ปี นาย จรัญ และ โจทก์ ที่ 2 ถึง ที่ 4 หลงเชื่อ จึง ร่วมกัน รับ ซื้อ ฝาก ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง และ จ่ายเงิน จำนวน 940,000 บาทให้ แก่ นางสาว วราสภี ไป ต่อมา นาย ปริทัศน์และนางสาวนภามาศ ได้ ฟ้อง นางสาว วราสภี โจทก์ ที่ 2 โจทก์ ที่ 4 จำเลย ที่ 3 และ จำเลย ที่ 4ขอให้ ศาล เพิกถอน นิติกรรม และ แก้ ชื่อ ใน โฉนด ที่ดิน ดังกล่าว ศาลฎีกาได้ มี คำพิพากษา ยืน ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ ให้ เพิกถอนการ จดทะเบียน ขายฝาก และ ศาลแพ่ง ได้ อ่าน คำพิพากษา ศาลฎีกา เมื่อ วันที่16 เมษายน 2529 โจทก์ ทั้ง สี่ จึง ทราบ แน่ชัด ว่า จำเลย ทั้ง สี่ ร่วมกันทำละเมิด ต่อ โจทก์ ทั้ง สี่ ใน วัน ดังกล่าว เนื่องจาก จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3เป็น ข้าราชการ และ เป็น พนักงาน เจ้าหน้าที่ ซึ่ง เป็น ผู้แทน ของ จำเลย ที่ 4ได้ ปฏิบัติ หน้าที่ โดยประมาท เลินเล่อ หรือ กระทำ ละเมิด ใน หน้าที่ที่ จำเลย ที่ 4 มอบหมาย จำเลย ที่ 4 จึง ต้อง ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1ถึง ที่ 3 ใน ผล แห่ง การ ละเมิด ที่ ทำให้ นาย จรัญ และ โจทก์ ที่ 2ถึง ที่ 4 ได้รับ ความเสียหาย เป็น เงิน 940,000 บาท พร้อม ด้วย ดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 20 สิงหาคม 2523 อันเป็นวัน ครบ กำหนด ไถ่ถอน การ ขายฝาก ถึง วันฟ้อง เป็น เงิน ดอกเบี้ย 352,500 บาทขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สี่ ร่วมกัน ชำระ เงิน จำนวน 1,292,500 บาทพร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี ของ ต้นเงิน 940,000 บาทนับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สี่
จำเลย ทั้ง สี่ ให้การ ว่า จำเลย ที่ 1 เป็น ผู้รับ คำขอ และ สอบสวนเบื้องต้น และ ได้ เรียก บัตรประจำตัวประชาชน สำเนา ทะเบียนบ้านโฉนด ที่ดิน ฉบับ เจ้าของ ที่ดิน ที่ จะขาย มาตร วจสอบ กับ สารบบ ที่ดินปรากฏว่า มี ชื่อ ตัว ชื่อสกุล ชื่อ บิดา มารดา อายุ สัญชาติ เชื้อชาติและ ที่อยู่ ของ ผู้ขอ ทำนิติกรรม ทั้ง สอง ฝ่าย ตรง กัน เมื่อ ตรวจสอบลายมือชื่อ ของ นาย ปริทัศน์ และนางสาวนภากาศหรือนภามาศ เจ้าของ ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ดังกล่าว ตาม ใบมอบอำนาจ ฉบับ ลงวันที่ 20 กรกฎาคม2522 ทั้ง สอง ฉบับ เปรียบเทียบ กับ ลายมือชื่อ ของ เจ้าของ โฉนด ที่ดินดังกล่าว ที่ มี อยู่ ใน สารบบ สำนักงาน ที่ดิน แล้ว ปรากฏว่า มี ลีลา การ เขียนเหมือนกัน ทั้ง ไม่มี เหตุ สงสัย ว่า จะ ไม่ใช่ ลายมือชื่อ ของ บุคคลคนเดียว กัน จึง ได้ เสนอ เรื่อง ให้ จำเลย ที่ 2 ผู้บังคับบัญชา ตามลำดับเพื่อ พิจารณา จำเลย ที่ 2 ได้ สั่งการ ให้ จำเลย ที่ 3 เป็น ผู้ จดทะเบียนนิติกรรม ราย นี้ จำเลย ที่ 3 ได้ ตรวจสอบ อีก ครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าถูกต้อง ตรง กับ สารบบ ที่ดิน นอกจาก นี้ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 ยัง ได้ตรวจสอบ บัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ ผู้รับมอบอำนาจ ทั้งที่ ไม่มี กฎหมาย หรือ ระเบียบ คำสั่ง ราชการ ใด ระบุ ให้ ต้อง ตรวจสอบไป ถึง ผู้รับมอบอำนาจ แต่อย่างใด จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 ได้ ตรวจสอบ แล้วเห็นว่า เป็น บัตรประจำตัวประชาชน ที่ มี รายการ ถูกต้อง จึง เชื่อโดยสุจริต ว่า เป็น ผู้รับมอบอำนาจ ที่ แท้จริง ทั้งนี้ เพราะ ใน สารบบประจำ สำนักงาน ที่ดิน ไม่มี หลักฐาน บัตรประจำตัวประชาชน หรือ หลักฐาน อื่นของ นางสาว ปิติกาญจน์ ตัว จริง ไว้ สำหรับ ตรวจสอบ เปรียบเทียบ จำเลย ที่ 3 จึง ได้ จดทะเบียน การ ซื้อ ขาย ที่ดิน ราย นี้ จำเลย ที่ 1ถึง ที่ 3 ได้ ปฏิบัติ ตาม ระเบียบ และ ขั้นตอน ต่าง ๆ โดย ถูกต้อง ครบถ้วนแล้ว ฝ่าย โจทก์ จึง ไม่ได้ รับ ความเสียหาย จาก ผล การกระทำ ของ จำเลย ทั้ง สี่แต่อย่างใด ผู้ได้รับ ความเสียหาย ก็ คือ เจ้าของ โฉนด ที่ดิน ทั้ง สองใน ขณะ นั้น ฝ่าย โจทก์ จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง จำเลย ทั้ง สี่ โจทก์ ที่ 1และ ที่ 3 มิได้ เป็น ผู้รับ ซื้อ ฝาก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 79183 และ 79184เพราะ ไม่ปรากฏ ชื่อ และ มี หลักฐาน เป็น หนังสือ และ จดทะเบียน ต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม โจทก์ ทั้ง สี่ฟ้องคดี นี้ เกิน 1 ปี นับแต่ วัน ทราบ ถึง เหตุ ละเมิด และ รู้ตัว ผู้ที่จะ ต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ใน วันที่ 19 มีนาคม 2525 อันเป็น วันที่ศาลแพ่ง ได้ มี คำพิพากษา ให้ เพิกถอน การ จดทะเบียน ซื้อ ขาย และ ขายฝากที่ดิน โฉนด เลขที่ 79183 และ 79184 ฟ้องโจทก์ จึง ขาดอายุความขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สี่ ร่วมกัน ชำระ เงิน จำนวน1,292,500 บาท พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปีของ เงิน จำนวน 940,000 บาท นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สี่
จำเลย ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สี่ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ข้อเท็จจริง รับฟัง ได้ ใน เบื้องต้น ว่าโจทก์ ที่ 1 เป็น ภรรยา ของ นาย จรัญ เจนวาณิชย์ และ ได้รับ แต่งตั้ง ให้ เป็น ผู้จัดการมรดก ของ นาย จรัญ ซึ่ง ถึงแก่กรรม ไป แล้ว โจทก์ ที่ 2มอบอำนาจ ให้ โจทก์ ที่ 1 ใน ฐานะ ส่วนตัว ฟ้องคดี นี้ แทน จำเลย ที่ 4เป็น นิติบุคคล ตาม กฎหมาย ประเภท กรม อยู่ ใน สังกัด กระทรวงมหาดไทยโดย จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 เป็น ข้าราชการ ใน สังกัด และ อยู่ ภายใต้บังคับบัญชา ของ จำเลย ที่ 4 เมื่อ วันที่ 25 กรกฎาคม 2522นางสาว วราสภี สร้างสมวงศ์ ได้ นำ โฉนด ที่ดิน เลขที่ 79183 และ 79184ตำบล หัวหมาก (หัวหมากใต้) อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ของ นาย ปริทัศน์ ศุกรีเขตร์ และนางสาวนภามาศ ศุกรีเขตร์ เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ไป จดทะเบียน โอน ขาย ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ให้ แก่ นางสาว วราสภี ที่ สำนักงาน ที่ดิน กรุงเทพมหานคร เขต 4 บาง กะ ปิ โดย ใช้ หนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2522 รวม สอง ฉบับ ของ นาย ปริทัศน์ และ นางสาว นภามาศ มอบอำนาจ ให้ นางสาว ปิติกาญจน์ ศุกรีเขตร์ ทำการ จดทะเบียน นิติกรรม ขาย ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ให้ แก่ นางสาว วราสภี โดย ปลอม ลายมือชื่อ ของ นาย ปริทัศน์ นางสาวนภามาศและนางสาวปิติกาญจน์ จำเลย ที่ 1 ซึ่ง ขณะ นั้น รับ ราชการ ใน ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ที่ดิน 4ได้ ทำการ ตรวจสอบ หลักฐาน แล้ว เสนอ ให้ จำเลย ที่ 2 ซึ่ง ขณะ นั้น รับ ราชการใน ตำแหน่ง หัวหน้า สำนักงาน ที่ดิน กรุงเทพมหานคร เขต 4 บาง กะ ปิตรวจสอบ อีก ครั้ง จำเลย ที่ 2 ตรวจสอบ แล้ว ได้ สั่งการ ให้ จำเลย ที่ 3ซึ่ง ขณะ นั้น รับ ราชการ ใน ตำแหน่ง ผู้ช่วย หัวหน้า สำนักงาน ที่ดินกรุงเทพมหานคร เขต 4 บาง กะ ปิ ทำการ จดทะเบียน จำเลย ที่ 3 ได้ตรวจสอบ หลักฐาน อีก ครั้งหนึ่ง แล้ว จึง รับ จดทะเบียน นิติกรรม ซื้อ ขาย ให้ปรากฏ ตาม เอกสาร หมาย จ. 18 และ จ. 19 ใน การ ตรวจสอบ หลักฐาน ดังกล่าวจำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 ต้อง ปฏิบัติ ตาม คำสั่ง กรมที่ดิน ที่ 10/2501เรื่อง หนังสือมอบอำนาจ เอกสาร หมาย จ. 9 ซึ่ง เป็น เอกสาร ฉบับ เดียว กับเอกสาร หมาย ล. 2 และ ปฏิบัติ ตาม หนังสือ เรื่อง ซ้อม ความ เข้าใจ ทางปฏิบัติเกี่ยวกับ หนังสือมอบอำนาจ เอกสาร หมาย จ. 10 ต่อมา นางสาว วราสภี ได้ นำ ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ไป ขายฝาก ไว้ แก่ นาย จรัญ โจทก์ ที่ 2ถึง ที่ 4 ใน ราคา 940,000 บาท โดย นาย จรัญ และ โจทก์ ที่ 2 ร่วมกัน ออก เงิน ครึ่ง หนึ่ง เป็น เงินสด จำนวน 140,000 บาท และ เช็ค ของบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ กมลสุโกศล จำกัด อีก 330,000 บาท ปรากฏ ตาม สำเนา เช็ค เอกสาร หมาย จ. 6 ส่วน โจทก์ ที่ 3 และ ที่ 4ร่วมกัน ออก เงิน ครึ่ง หนึ่ง เป็น เงินสด จำนวน 120,000 บาท และแคชเชียร์เช็ค อีก 350,000 บาท ปรากฏ ตาม สำเนา เช็ค เอกสาร หมาย จ. 7ต่อมา นาย ปริทัศน์และนางสาวนภามาศ ได้ เป็น โจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาว วราสภี พร้อม กับ โจทก์ ที่ 2 โจทก์ ที่ 4 จำเลย ที่ 3 และ จำเลย ที่ 4 ต่อ ศาลชั้นต้น ซึ่ง ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ เพิกถอน การจดทะเบียน ขายฝาก ระหว่าง นางสาว วราสภี กับ โจทก์ ที่ 2 และ ที่ 4ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน และ ศาลฎีกา ยก ฎีกา ของ ฝ่าย จำเลย โดย ศาลชั้นต้นได้ อ่าน คำพิพากษา ศาลฎีกา เมื่อ วันที่ 16 เมษายน 2529 คดี มี ปัญหาวินิจฉัย ตาม ฎีกา ข้อ แรก ของ จำเลย ทั้ง สี่ ว่า โจทก์ ที่ 1 และ ที่ 3มีอำนาจ ฟ้อง หรือไม่ เห็นว่า ตาม คำฟ้อง ของ โจทก์ ทั้ง สี่ ขอให้ จำเลยทั้ง สี่ ร่วมกัน รับผิด ฐาน ละเมิด เนื่องจาก ประมาท เลินเล่อ ไม่ปฏิบัติ ตามระเบียบ ของ ทางราชการ ใน การ ตรวจสอบ หลักฐาน ต่าง ๆ ให้ ถูกต้องใน ขณะที่ นางสาว วราสภี จดทะเบียน รับโอน ที่ดินพิพาท โดย ใช้ หนังสือ มอบอำนาจ ปลอม อันเป็น เหตุ ให้ นางสาว วราสภี นำ ที่ดินพิพาท มา ขายฝาก ให้ โจทก์ ทั้ง สี่ จน กระทั่ง นาย ปริทัศน์และนางสาวนภามาศ เจ้าของ ที่ดินพิพาท ได้ ฟ้อง เพิกถอน การ ขายฝาก และ ศาลฎีกา ได้ มี คำพิพากษาถึงที่สุด ให้ เพิกถอน การ จดทะเบียน ขายฝาก ทำให้ โจทก์ ทั้ง สี่ ได้รับความเสียหาย อันเป็น การ ฟ้อง ให้ จำเลย ทั้ง สี่ รับผิด ฐาน ละเมิด มิได้ฟ้อง จำเลย ทั้ง สี่ เกี่ยวกับ เรื่อง นิติกรรม หรือ สัญญา ดังนั้นแม้ โจทก์ ที่ 1 และ ที่ 3 จะ มิได้ มี ชื่อ เป็น ผู้รับ ซื้อ ฝาก ใน สารบัญจดทะเบียน โจทก์ ที่ 1 และ ที่ 3 ก็ มีอำนาจ ฟ้อง ฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สี่ข้อ นี้ ฟังไม่ขึ้น
ปัญหา วินิจฉัย ต่อไป มี ว่า ฟ้อง ของ โจทก์ ทั้ง สี่ ขาดอายุความหรือไม่ จำเลย ทั้ง สี่ อ้างว่า คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 867-868/2529ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย ฎีกา เพราะ ฎีกา ต้องห้าม ตาม กฎหมาย ถือว่าประเด็น เกี่ยวกับ ความประมาท เลินเล่อ ของ จำเลย ที่ 3 และ ที่ 4ถึงที่สุด ใน วัน อ่าน คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ คือ วันที่ 5 ตุลาคม 2526(ที่ ถูก คือ วันที่ 6 ธันวาคม 2526) คดี จึง ขาดอายุความ แล้ว นั้นเห็นว่า ตาม คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 867-868/2529 แม้ จำเลย ที่ 4และ ที่ 5 ใน คดี ดังกล่าว หรือ จำเลย ที่ 4 และ ที่ 3 ใน คดี นี้ ได้ ฎีกาขอให้ ตนเอง ไม่ต้อง รับผิด เสีย ค่าฤชาธรรมเนียม ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สองใน คดี ดังกล่าว แต่ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ใน คดี ดังกล่าว หรือ โจทก์ ที่ 2และ ที่ 4 ใน คดี นี้ ก็ ได้ ยื่นฎีกา โต้แย้ง คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ขอให้ศาลฎีกา พิพากษากลับ คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ให้ยก ฟ้องโจทก์ ด้วยดังนั้น ก่อน คดี ดังกล่าว ถึงที่สุด จึง ยัง ไม่ทราบ ว่า บุคคล ใด เป็นผู้กระทำ ละเมิด ต่อ โจทก์ เมื่อ ศาลฎีกา พิพากษาคดี แล้ว คดี เป็น ที่ ยุติฟังได้ ว่า บุคคล ใด บ้าง มี ส่วน กระทำ ละเมิด และ ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์คดี จึง เริ่ม นับ อายุความ เมื่อ ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า โจทก์ รู้ตัวผู้จะพึง ต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ใน วันที่ 16 เมษายน 2529 ซึ่ง เป็นวันที่ ศาลชั้นต้น อ่าน คำพิพากษา ศาลฎีกา และ นับ ถึง วันที่ โจทก์ ฟ้องคดี นี้ คือ วันที่ 24 กันยายน 2529 แล้ว ไม่เกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์จึง ไม่ขาดอายุความ ฎีกา ข้อ นี้ ของ จำเลย ทั้ง สี่ ฟังไม่ขึ้น
ปัญหา วินิจฉัย ข้อ สุดท้าย มี ว่า จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 กระทำ ละเมิดต่อ โจทก์ หรือไม่ และ จำเลย ที่ 4 จะ ต้อง ร่วมรับผิด ด้วย หรือไม่ เห็นว่าตาม ข้อ นำสืบ ของ จำเลย น่าเชื่อ ว่า ก่อน จดทะเบียน นิติกรรม จำเลย ที่ 1ถึง ที่ 3 ได้ ตรวจสอบ ลายมือชื่อ ของ ผู้มอบอำนาจ เปรียบเทียบ กับลายมือชื่อ เจ้าของ ที่ดิน ใน สารบบ แล้ว เห็นว่า ตรง กัน เพราะ เมื่อดู ลายมือชื่อปลอม ของ นาย ปริทัศน์ ผู้มอบอำนาจ ใน เอกสาร หมาย จ. 11เปรียบเทียบ กับ ลายมือชื่อ ที่ แท้จริง ของ นาย ปริทัศน์ ใน หนังสือ สัญญา ให้ ที่ดิน เอกสาร หมาย จ. 12 ซึ่ง อยู่ ใน สารบบ ที่ดิน แล้ว เห็นว่ามี ลักษณะ ตัวอักษร ช่อง ไฟ และ ลีลา การ เขียน คล้ายคลึง กัน ลายมือชื่อปลอม ของ นางสาว นภามาศ ผู้มอบอำนาจ ใน เอกสาร หมาย จ. 13 เมื่อ เปรียบเทียบ กับ ลายมือชื่อ ที่ แท้จริง ของ นางสาว นภามาศ ใน หนังสือ สัญญา ให้ ที่ดิน เอกสาร หมาย จ. 14 ซึ่ง อยู่ ใน สารบบ ที่ดิน ก็ มี ลักษณะ ตัวอักษรช่อง ไฟ และ ลีลา การ เขียน คล้ายคลึง กัน เช่นเดียวกัน อัน ทำให้ น่าเชื่อว่า เป็น ลายมือชื่อ ของ บุคคล คนเดียว กัน แสดง ว่า จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3ได้ ทำการ ตรวจสอบ ตาม คำสั่ง ของ จำเลย ที่ 4 ก่อน จดทะเบียน นิติกรรมอันเป็น การ ระมัดระวัง ตาม คำสั่ง ของ จำเลย ที่ 4 พอสมควร แล้ว ส่วน การตรวจสอบ บัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ ผู้รับมอบอำนาจ และ ถ่าย ภาพ บัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ เก็บ ไว้ นั้น ปรากฏว่า ไม่มี ภาพถ่าย บัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ รวม อยู่ ใน เรื่อง ข้ออ้าง ของ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 ว่า ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ ที่ เก็บ ไว้ ได้ สูญหาย ไป ฟังไม่ขึ้น เพราะ นางสาว ปิติกาญจน์ ไม่ได้ อยู่ ใน ประเทศ ไทย และ ได้ นำ บัตร ประชาชน ติดตัว ไป ต่างประเทศ ด้วย ส่วน ที่ จำเลย ฎีกา ว่าได้ มี การ ปลอม บัตรประจำตัวประชาชน ของ นางสาว ปิติกาญจน์ และ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 เชื่อ ว่า เป็น บัตรประจำตัวประชาชน ของนางสาว ปิติกาญจน์ ที่ แท้จริง จึง รับ จดทะเบียน นิติกรรม ซื้อ ขาย ให้ นั้น เห็นว่า เป็น ข้อเท็จจริง ใหม่ ที่ จำเลย ไม่ได้ ว่ากล่าว มาใน ชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกา จึง ไม่รับ วินิจฉัย ให้ พยานหลักฐาน โจทก์น่าเชื่อ ว่า จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 มิได้ ตรวจ บัตรประจำตัวประชาชนของ ผู้รับมอบอำนาจ และ ถ่าย ภาพ บัตรประจำตัวประชาชน ของ ผู้รับมอบอำนาจเก็บ ไว้ เป็น การ ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติ ตาม คำสั่ง ของ จำเลย ที่ 4 ตามเอกสาร หมาย จ. 10 เป็น การปฏิบัติหน้าที่ หรือ กระทำ โดยประมาท เลินเล่อก่อ ให้ เกิด ความเสียหาย แก่ โจทก์ ทั้ง สี่ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3ต้อง รับผิด ใน ความเสียหาย ที่ เกิดขึ้น และ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3เป็น ข้าราชการ หรือ เจ้าหน้าที่ ผู้แทน ของ จำเลย ที่ 4 มี หน้าที่ปฏิบัติ ราชการ ใน หน้าที่ และ ความรับผิด ชอบ ของ จำเลย ที่ 4 จำเลย ที่ 4ต้อง ร่วมรับผิด ต่อ โจทก์ ทั้ง สี่ ด้วย ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา มาชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สี่ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน