แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ตั้งแต่โจทก์ทำการสมรสเมื่อ พ.ศ. 2478 แล้วโจทก์ได้ครอบครองต่อมาเป็นเวลาสิบกว่าปีจำเลยทั้งสองจึงได้ทำการโอนที่พิพาทให้กันโดยการซื้อขายที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเมื่อ พ.ศ. 2506 ดังนี้ โจทก์ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน ย่อมขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนอันเป็นทางทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าที่ดินโฉนดที่ 1639 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 เนื้อที่ 49 ไร่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครอง และสั่งเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองเสียพร้อมทั้งใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่ 1
จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทจำเลยที่ 2 ซื้อร่วมกับนายเหล็งโจทก์ที่ 1 ไม่เคยแสดงเจตนาว่าจะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยสุจริต ฯลฯ
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ตายไม่มีผู้มีสิทธิขอรับมรดกความศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 เสีย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงของคดีนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์มาตั้งแต่โจทก์ทำการสมรสเมื่อ พ.ศ. 2478 แล้วโจทก์ได้ครอบครองต่อมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว จำเลยทั้งสองจึงได้ทำการโอนที่พิพาทให้กันโดยการซื้อขายที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเมื่อ พ.ศ. 2506 ดังนี้ โจทก์ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนย่อมขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนอันเป็นทางที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
พิพากษายืน