คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาขายฝากจะมีข้อความว่า เมื่อทรัพย์ที่ขายฝากหลุดเป็นสิทธิของผู้ซื้อฝากแล้ว ถ้าผู้ซื้อฝากขายทรัพย์นั้นได้เงินไม่ครบตามจำนวนที่ขายฝาก ยังขาดอยู่เท่าใด ผู้ขายฝากยอมใช้ให้ผู้ซื้อฝากจนครบก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่คู่กรณีได้ตกลงกันเป็นพิเศษ ไม่ขัดกับกฎหมาย และไม่ทำให้ลักษณะของสัญญาเปลี่ยนแปลงไปเป็นจำนำแต่อย่างใด
การที่ผู้ขายฝากลอบเอารถยนต์ที่ขายฝากไปขายให้แก่บุคคลอื่นอีกนั้นแม้ผู้ซื้อจะได้รับซื้อไว้โดยสุจริต ก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อใช้ยันผู้รับซื้อฝากได้ในเมื่อต่อมาผู้ขายฝากไม่ไถ่รถยนต์ที่ขายฝากนั้นเสียภายในกำหนดตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 12 มกราคม 2502 นายเชียง แซ่แต้ ได้ขายฝากรถยนต์ฟอร์ดไว้กับโจทก์ที่ 1 ราคา 18,000 บาท ตกลงไถ่คืนภายใน 12 กันยายน 2502 ได้มอบรถยนต์ใบทะเบียน กับแบบพิมพ์คำแจ้งความเรื่องโอนและรับโอนยานพาหนะ และแบบเรื่องราวขออนุญาตต่าง ๆ ซึ่งนายเชียงได้ลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์ในช่องผู้โอนและช่องผู้ขออนุญาต ให้โจทก์ที่ 1 ยึดถือไว้ เพื่อสะดวกในการไปรับโอนหรือโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ เมื่อนายเชียงขายฝากรถยนต์ไว้แล้วโจทก์ได้ให้นายเชียงเช่าไปรับจ้างส่งคนโดยสาร ต่อมาต้นเดือนกันยายน 2502 โจทก์ได้เรียกรถยนต์คืนมา เมื่อครบกำหนดไถ่นายเชียงไม่ได้ไถ่รถยนต์จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ครั้น 15 กันยายน 2502 โจทก์ที่ 1 ขายกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้โจทก์ที่ 2 ในราคา 20,000 บาท ชำระราคาและมอบรถยนต์ให้กันแล้ว ต่อมา 6 ตุลาคม 2502 โจทก์ที่ 2 นำแบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่นายเชียงลงชื่อไว้กับใบทะเบียนรถยนต์ไปให้เจ้าหน้าที่กองทะเบียนกรมตำรวจโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ที่ 2 นายทะเบียนไม่รับทำให้ โดยปรากฏว่านายเชียงได้แจ้งเท็จต่อนายทะเบียนว่าใบทะเบียนหายขอใบแทนไปใหม่ และโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลยไปเมื่อ 17 มิถุนายน 2502 ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2502 เจ้าหน้าที่ยึดรถยนต์ไปจากโจทก์ที่ 2 จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2

จำเลยให้การว่า โจทก์สมคบกับนายเชียงทำสัญญาขายฝากปลอมขึ้นในภายหลังเมื่อจำเลยนำเจ้าพนักงานไปยึดรถยนต์จากโจทก์ที่ 2 เพื่อจะฉ้อโกงจำเลย จำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์โดยซื้อจากนายเชียงโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเป็นเงิน 12,500 บาท ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2502 ได้จดทะเบียนไว้ก่อนโจทก์ที่ 2 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่านายเชียงขายฝากรถยนต์ไว้กับโจทก์ที่ 1 ทั้งสัญญาก็เป็นลักษณะจำนำ ไม่ใช่ขายฝาก กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจำเลยเป็นผู้ซื้อย่อมได้กรรมสิทธิ์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายเชียงได้ขายฝากรถยนต์คันพิพาทไว้กับโจทก์ที่ 1 แล้วเช่ารถนั้นไป เมื่อนายเชียงขายฝากให้โจทก์ที่ 1 ๆ ย่อมเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ และนายเชียงไม่ได้ไถ่คืนภายในกำหนด จึงไม่มีสิทธิจะนำไปขายให้กับจำเลยในภายหลังได้อีก โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ซื้อต่อจากโจทก์ที่ 1 จึงเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพากษากลับว่า รถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องหรือขัดขวาง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2502 นายเชียงได้ขายฝากรถยนต์ไว้กับโจทก์เป็นเงิน 18,000 บาท ได้มอบทะเบียนรถยต์แบบพิมพ์คำแจ้งความเรื่องโอนและรับโอนยานพาหนะทางบก กับแบบเรื่องราวขออนุญาตต่าง ๆ ซึ่งนายเชียงได้ลงชื่อในช่องผู้โอนและผู้ขออนุญาตโดยยังมิได้กรอกข้อความใด ๆ ให้โจทก์ที่ 1 ไว้พร้อมกันนั้นนายเชียงก็ได้เช่ารถยนต์นี้ไปจากโจทก์ที่ 1 ครั้นถึงกำหนดไถ่ถอนขายฝากวันที่ 12 กันยายน 2502 นายเชียงก็ไม่ไถ่ถอนในวันที่ 15 กันยายน 2502 โจทก์ที่ 1 จึงขายรถยนต์ให้โจทก์ที่ 2 โดยมอบหลักฐานต่าง ๆ ที่นายเชียงให้ไว้ไปกับโจทก์ที่ 2 เพื่อไปทำการโอนเอาเองเห็นได้ว่าโจทก์รับซื้อฝากรถยนต์ไว้จากนายเชียงโดยชอบ ที่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์กับนายเชียงสมคบทำปลอมสัญญาขายฝากเพื่อฉ้อโกงจำเลยนั้น ไม่มีเหตุผลให้น่าเชื่อ การที่สัญญาขายฝากมีข้อความว่า เมื่อทรัพย์ที่ขายฝากหลุดเป็นสิทธิของผู้ซื้อฝากแล้ว ถ้าผู้ซื้อฝากขายทรัพย์ได้เงินไม่ครบจำนวนที่ขายฝากไว้ ยังขาดเท่าใด ผู้ขายฝากยอมใช้ให้ผู้ซื้อฝากจนครบถ้วนนั้นเป็นเรื่องที่คู่กรณีตกลงกันเป็นพิเศษ ไม่ขัดกับกฎหมายและไม่ทำให้ลักษณะของสัญญาเปลี่ยนแปลงไปเป็นจำนำแต่อย่างใด โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับซื้อฝากไว้ย่อมได้กรรมสิทธิ์ เมื่อนายเชียงไม่ได้ไถ่คืนภายในกำหนด จึงไม่มีสิทธิจะนำไปขายให้แก่จำเลยในภายหลังอีกข้อที่จำเลยคัดค้านว่าโจทก์ที่ 1 รับซื้อฝากแล้วก็หาได้นำทะเบียนไปโอนเป็นชื่อโจทก์ ทอดทิ้งไว้หลายเดือน เป็นเหตุให้นายเชียงแจ้งความว่าทะเบียนรถหายขอทะเบียนมาใหม่ เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต นั้น ก็ได้ความว่า เมื่อนายเชียงขายฝากรถยนต์กับโจทก์ที่ 1 แล้ว ก็เช่ารถนั้นไป เป็นการครอบครองแทนโจทก์ที่ 1 การที่นายเชียงไปแจ้งเท็จว่าทะเบียนหายก็เป็นความทุจริตของนายเชียงเอง โดยโจทก์ที่ 1 หาได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยไม่ ทั้งการซื้อขายรถยนต์นั้น เพียงแต่ผู้ซื้อชำระราคาให้และผู้ขายส่งมอบรถแก่ผู้ซื้อโดยยังมิได้โอนทะเบียนกัน กรรมสิทธิ์ก็ตกเป็นของผู้ซื้อตามกฎหมายแล้ว แม้จำเลยจะได้รับซื้อไว้โดยสุจริตก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อใช้ยันโจทก์ที่ 1 ได้ โจทก์ที่ 2 รับซื้อไว้จึงเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ พิพากษายืน

Share