แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนำสืบถึงการชำระเงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือมีการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม หรือแทงเพิกถอนในเอกสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสอง หมายถึงการนำสืบถึงการชำระต้นเงินเท่านั้นไม่รวมถึงการชำระดอกเบี้ยด้วย จำเลยจึงนำสืบถึงจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระไปได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) จำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองชำระให้โจทก์สูงกว่าดอกเบี้ยจากต้นเงินตามสัญญากู้และสัญญาจำนองนับแต่วันกู้ยืมมาจนถึงวันฟ้องเงินส่วนที่ชำระดอกเบี้ยซึ่งเกินดังกล่าวต้องนำไปชำระต้นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคแรก
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวน ศาลรวมพิจารณาพิพากษาโดยให้เรียกจำเลยที่ 1สำนวนแรกและจำเลยสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 2ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์ 60,000 บาทโดยจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 12880 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยทั้งสองไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน105,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12880 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกู้ยืมเงิน และจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้กับโจทก์จริง จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ไถ่ถอนจำนองให้ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปสามครั้งรวมเป็นเงิน 44,000 บาท โดยตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีให้โจทก์ทุกเดือน จำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 75,863.87 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสามครั้งจริงจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ให้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 44,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 60,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดโฉนดเลขที่ 12880 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องใหม่ภายในอายุความ
โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีที่มาตรา 94(ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคล นั้นต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ดังนั้นการนำสืบถึงการชำระเงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือมีการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมหรือแทงเพิกถอนในเอกสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา653 วรรคสอง หมายถึงการนำสืบถึงการชำระต้นเงินเท่านั้น ไม่รวมถึงการชำระดอกเบี้ยด้วย จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธินำสืบถึงจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระไปได้ ไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองชำระให้โจทก์ตามสมุดบันทึกสูงกว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินตามสัญญากู้และสัญญาจำนองนับแต่วันกู้ยืมมาจนถึงวันฟ้อง เงินส่วนที่ชำระดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีดังกล่าว จึงต้องนำไปชำระต้นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคแรก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องคิดยอดเงินมาให้ถูกต้อง และไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน