คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2820/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกู้ยืมเงินกันนั้น ผู้กู้อาจยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นแทนจำนวนเงินหรืออาจนำหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ก็ได้ หาจำต้องมีการรับเงินกันเสมอไปไม่
จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้ โดยจำนวนเงินในสัญญากู้เป็นหนี้ค่าเครื่องทำไฟซึ่งจำเลยค้างชำระโจทก์อยู่ แม้จำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ โจทก์จำเลยก็มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยมิได้ต่อสู้ว่ามูลหนี้นั้นไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใดเมื่อมูลหนี้เดิมสมบูรณ์อยู่แล้วย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้
โจทก์จำเลยเอาหนี้ค่าเครื่องทำไฟมาทำเป็นสัญญากู้สัญญากู้นั้นย่อมสมบูรณ์บังคับกันได้และผูกพันอย่างหนี้เงินกู้ เมื่อการกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ การนำสืบถึงการใช้เงิน ก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยจะขอสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินให้โจทก์แล้วหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 6,000 บาทแล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ แต่จำเลยค้างชำระค่าเครื่องทำไฟซึ่งซื้อจากโจทก์อยู่ 6,000 บาท และจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ เงินที่ค้างนั้นจำเลยได้ชำระให้โจทก์หมดแล้ว

วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินตามสำเนาท้ายฟ้องให้โจทก์ไว้จริง แต่จำนวนเงินในสัญญากู้เป็นหนี้ค่าเครื่องทำไฟที่จำเลยค้างชำระอยู่ ต่อมาจำเลยได้ชำระเงินนั้นให้โจทก์หมดสิ้นแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานการชำระหนี้เป็นหนังสือ และไม่ได้ทำลายสัญญากู้

โจทก์โต้แย้งว่า เป็นการกู้ยืมเงินคนละเรื่องกับเครื่องทำไฟเงินค่าเครื่องทำไฟจำเลยได้ชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่เงินตามสัญญากู้นี้ยังมิได้ชำระให้โจทก์เลย

ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 6,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2501จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกู้ยืมเงินกันนั้น ผู้กู้อาจยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นแทนจำนวนเงิน หรืออาจนำหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ก็ได้หาจำต้องมีการรับเงินกันเสมอไปไม่ คดีนี้ จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินตามสำเนาท้ายฟ้องให้โจทก์ไว้จริงโดยจำนวนเงินในสัญญากู้เป็นหนี้ค่าเครื่องทำไฟ ซึ่งจำเลยค้างชำระอยู่ ถึงหากจะฟังดังจำเลยให้การว่าจำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ แต่เป็นหนี้ค่าเครื่องทำไฟ ก็แสดงว่าโจทก์จำเลยมีมูลหนี้ต่อกันจริงจำเลยมิได้ต่อสู้เลยว่ามูลหนี้นั้นไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด เมื่อมูลหนี้เดิมสมบูรณ์อยู่แล้ว ก็ย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้ การที่โจทก์จำเลยเอาหนี้ค่าเครื่องทำไฟมาทำเป็นสัญญากู้ตามสำเนาท้ายฟ้อง สัญญากู้นั้นย่อมสมบูรณ์บังคับกันได้และผูกพันกันอย่างหนี้เงินกู้ เมื่อการกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ การนำสืบถึงการใช้เงินก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2 จำเลยจะขอสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินให้โจทก์แล้วหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธินำสืบถึงมูลหนี้เดิมได้และมีสิทธินำสืบถึงการชำระหนี้ได้ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะถ้ายอมให้สืบถึงมูลหนี้เดิมซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้ว และสืบถึงการชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมได้โดยไม่คำนึงถึงสัญญากู้ ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อย่างใดที่โจทก์จำเลยจะทำสัญญากู้ผูกพันกันไว้

เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้โดยมีมูลหนี้และไม่อาจนำสืบถึงการชำระเงินได้ ข้อเท็จจริงก็ต้องฟังว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง โดยไม่จำต้องพิจารณาสืบพยานต่อไปอีกฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่เฉพาะดอกเบี้ยซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยนับแต่วันทำสัญญากู้นั้น ตามสัญญาระบุว่าจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์โดยมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2511 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์พอใจไม่อุทธรณ์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา

พิพากษากลับเป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share