แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283ปรากฏว่าจำเลยกับนาย ส.กับพวกอีกคนหนึ่งนำรถยนต์ไปรอดักฉุดผู้เสียหายและผู้เสียหายออกจากหอพักเพื่อจะไปซื้อของ และเมื่อขึ้นไปบนรถแล้วนาย ส. ใช้อาวุธปืนขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายร้อง และได้พาไปกักขังไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถือได้ว่าจำเลยกับนายส.เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกัน แม้การพาผู้เสียหายไปนั้นเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายส.และเพื่อการอนาจารผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นความผิดตามมาตรา 283 ตามฟ้องไม่ เพราะความผิดตามมาตรา 283 นั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้กระทำนั้นเอง หรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้วก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่เมื่อจำเลยและนายส.กับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายส.ไม่ได้ร่วมกันพาไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นใด จึงจะแยกการกระทำที่ประกอบร่วมกันนี้ให้ตกเป็นความผิดแก่จำเลยว่าพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่ของตนหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกสองคนได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรม กล่าวคือ จำเลยกับนายสมบัติ ยาสาธรกับพวกอีก 1 คน เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของนายสมบัติ ยาสาธรได้ร่วมกันข่มขืนใจนางสาวชูศรี โง้วสกุล ผู้เสียหายอายุ 22 ปีโดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย จับตัวและฉุดดึงบังคับพาผู้เสียหายไปขึ้นรถยนต์ และใช้อาวุธปืนจี้บังคับขู่เข็ญผู้เสียหายว่าจะยิงผู้เสียหาย หากต่อสู้ขัดขืน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต จึงต้องยินยอมไปด้วย จำเลยกับพวกได้พาผู้เสียหายไปยังบ้านของพวกจำเลย เพื่อให้นายสมบัติข่มขืนกระทำชำเรา และจำเลยกับพวกอีกสองคนได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ในบ้านพักของพวกจำเลย ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283, 309, 310
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้เสียหายกับจำเลยได้ยอมความกันที่กองกำกับการตำรวจภูธรสมุทรสงครามศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามมาตรา 310 สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และมาตรา283 คงให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดในฐานความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก และมาตรา 309 วรรคสองลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นธุระจัดหาเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเพื่อการอนาจารหญิงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283บัญญัติว่า “ผู้ใดเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็น ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด…” เห็นว่า การที่จำเลยกับนายสมบัติกับพวกอีกคนหนึ่งนำรถยนต์ไปรอดักฉุดผู้เสียหายขณะผู้เสียหายออกจากหอพักเพื่อจะไปซื้อของ และเมื่อขึ้นไปบนรถแล้วนายสมบัติใช้อาวุธปืนขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายร้อง และได้พาไปกักขังไว้ที่บ้านหลังหนึ่งที่อำเภอพระประแดงนั้น ถือได้ว่า จำเลยกับนายสมบัติเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าการพาผู้เสียหายไปนั้นเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายสมบัติและเพื่อการอนาจารผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นความผิดตามมาตรา 283 ตามฟ้องไม่ เพราะความผิดตามมาตรา 283นั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้กระทำนั้นเองหรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้วก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ คดีนี้จำเลยและนายสมบัติกับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายสมบัติ ไม่ได้ร่วมกันพาไปให้สำเร็จความใคร่ของผู้ใดอื่นจึงจะแยกการกระทำที่ประกอบร่วมกันนี้ให้ตกเป็นความผิดแก่จำเลยว่าพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่ตนเองหาได้ไม่ ส่วนข้อหาความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309วรรคสองนั้น กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ จึงให้ลงโทษจำเลยในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง วางโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือนและปรับ 2,500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ความผิดฐานอื่นให้ยกฟ้อง