คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ใช้ให้คนงานเข้ารื้อรั้วป่าช้าจีนบ้าบ๋าทำให้รั้วเสียหายและเข้าไปจัดตกแต่งสถานที่ทำเป็นร้านขายอาหารและให้รถยนต์เข้าไปจอดโดยเก็บค่าจอดรถการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการรบกวนและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นป่าช้าใช้ฝังศพไม่เหมาะที่จะมาใช้เป็นร้านขายอาหารโต้รุ่ง และที่จอด รถยนต์ กรณีมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวตามที่โจทก์ขอมาใช้ได้ เหตุผลที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกมาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สภาพสุสานและโจทก์แม้จะไม่ตรงกับเหตุผลตามคำร้องของ โจทก์ที่อ้างเฉพาะเรื่องการรบกวนความสงบของสถานที่แต่การที่ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาต้องพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ประกอบด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์มีข้อความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยที่ 1เป็นการรบกวนและโต้แย้งสิทธิของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เหตุผลที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ในฐานะทายาทและผู้รับมอบอำนาจจากทายาทของผู้ก่อตั้งทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าและผู้รับประโยชน์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งป่าช้าจีนบ้าบ๋า ให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนร้านขายอาหารและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหายกับขอให้พิพากษาว่าคำสั่งศาลแพ่งไม่มีผลผูกพันโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 และนางสาวองุ่น สุรสิทธิกุล กระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการเข้าไปรื้อรั้วป่าช้าจีนบ้าบ๋าออกแล้วทำเป็นร้านขายอาหาร และให้รถยนต์เข้าไปจอดโดยจำเลยที่ 1 เก็บค่าจอดรถยนต์เอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการใด ๆ ในบริเวณที่ดินพิพาทชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการใด ๆ ในบริเวณที่ดินพิพาทชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า โจทก์จะขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการใด ๆ ในที่ดินพิพาทชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งของศาลแพ่งและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะจัดการและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ ส่วนโจทก์ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่สนับสนุนหรือยืนยันว่าโจทก์เป็นทายาทของผู้ก่อตั้งทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าและที่ดินพิพาทเป็นของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าแต่เป็นเรื่องที่นายโลไกจวยในฐานะเจ้าของที่ดินประสงค์จะใช้ที่ดินพิพาททำเป็นป่าช้าของชาวจีนบ้าบ๋าเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่มีมูลนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีข้อพิพาทแห่งคดีโดยตรงซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองยังโต้เถียงกันอยู่จึงเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่อไปในชั้นพิจารณา ส่วนในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษานี้เป็นกรณีที่โจทก์จะต้องแสดงให้เห็นเป็นที่พอใจแก่ศาลว่าคำฟ้องที่โจทก์ยื่นและในโอกาสที่ยื่นคำขอนั้นมีเหตุสมควรและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 วรรคหนึ่ง (1)(2) ที่แก้ไขแล้ว อีกทั้งโจทก์ยังต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่า จำเลยที่ 1 ตั้งใจจะกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดการผิดสัญญา หรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้องตามมาตรา 255 วรรคสาม (ก) อีกด้วยเมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้ให้คนงานเข้ารื้อรั้วป่าช้าจีนบ้าบ๋าด้านติดถนนสีลมออกยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้รั้วป่าช้าจีนบ้าบ๋าเสียหาย คิดเป็นเงิน 20,000 บาท และได้เข้าจัดตกแต่งสถานที่ไปในป่าช้าจีนบ้าบ๋า ทำเป็นร้านขายอาหารและให้รถยนต์เข้าไปจอดโดยจำเลยที่ 1 เก็บค่าจอดรถเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกดังกล่าวเป็นการรบกวนและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของผู้ก่อตั้งทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋า แม้จำเลยที่ 1จะเปิดกิจการร้านขายอาหารมาก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีก็ตาม แต่การประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปย่อมเป็นการกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตามที่ถูกฟ้องร้องนั้น อีกทั้งที่ดินพิพาทเป็นป่าช้าใช้ฝังศพย่อมไม่เหมาะสมและบังควรที่จะมาใช้เป็นร้านขายอาหารโต้รุ่ง และที่จอด รถยนต์ กรณีมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราว ตามที่โจทก์ขอมาใช้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายมีว่าเหตุที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกมาวินิจฉัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องรั้ว การปรับพื้นที่ ส้วมและที่ทิ้งขยะ เป็นการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่สภาพสุสานและโจทก์นั้นไม่ตรงกับเหตุผลที่โจทก์กล่าวอ้างและขอมาในคำร้อง โดยตามคำร้องโจทก์อ้างเพียงว่าเหตุที่ขอคุ้มครองเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการรบกวนความสงบของสถานที่และบรรดาศพที่ฝังอยู่ในป่าช้า มิได้อ้างเหตุว่าเกิดความเสียหายแก่สภาพสุสานและแก่โจทก์แต่อย่างใด เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้ตามคำร้องของ โจทก์จะมีข้อความดังที่จำเลยที่ 1 อ้างก็ตาม แต่การที่ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษานั้นต้องพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ประกอบด้วย เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์มีข้อความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการรบกวนและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เหตุผลที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share